กองกำลังแห่งนักรบผู้เสียสละปกป้อง

กองกำลังแห่งนักรบผู้เสียสละปกป้อง

442
0
แบ่งปัน

****** กองกำลังแห่งนักรบผู้เสียสละปกป้อง ******

ข้าจะเล่าฝันตอนที่นั่งหลับให้แกฟังเอาไม๊…

->>> เอาครับ ฟังครับ

>>> ฟังๆๆๆ ปูเสื่อรอเลย

มีอยู่วันหนึ่ง ข้านั่งสมาธิ ช่วงตีหนึ่ง นั่งไปก็เคลิ้มไป ซักพักก็ฝัน เวลาเราฝันตอนไม่หลับนี่ มันมีสติระลึกได้ชัดมากกว่าหลับ เพราะ..มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของฝัน

คราวนี้ มันก็ล่วงเห็นภาพ ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมาอีกนิด แบบเฉียดๆ ตื่น เราก็จะรู้ว่า ไอ้เรื่องราวทั้งหลายที่เรานั่งฝันอยู่นี่ เราเป็นผู้เล่าเรื่องราวเอง แปลกไม๊..!!

เราจะได้ยินทางมโนว่ามันพูดไปเรื่อย และหากละเอียดลงไปอีกนิด สำหรับผู้ฝึกจิต จะเห็นว่า ภาพต่างๆ ที่เรารู้เห็น เกิดจากการปรุงแต่ง ที่เรียกว่า สังขาร..

ไอ้การปรุงแต่งนี่ มันจะปรุงไปตามเรื่องที่พูดอยู่นั้น มันกลมกลืนอย่างให้ผู้ที่กำลังเฝ้าชม ยังกะดูหนังทีเดียว ที่รู้เพราะสติมันสอดส่องอยู่

วันนั้น..มันนั่งฝันไปว่า หลังพุทธกาลซัก สามสี่ร้อยปี มันมีเมืองเมืองหนึ่ง อยู่ทางตอนใต้ของพม่า ในปัจจุบัน สมัยนั้น ยังไม่ได้แบ่งว่า นี่ ไทย นี่เขมร นี่จีน นี่ลาว อะไรอย่างทุกวันนี้

มันเป็นเมืองๆ แยกๆ กันออกไป เมืองไหนใหญ่ ผู้คนก็ต่างเข้ามาเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ช่วยๆ เหลือกัน และรวมกลุ่มกัน

เมื่อเวลา มีภัยสงคราม แต่บางยุค ก็จะมีบางเมือง ที่มีลูกหลานที่เข้มแข็ง และชอบรุกรานเมืองอื่น พูดง่ายๆ ว่า ไปปล้นเมืองอื่น เพื่อให้เมืองอื่นๆ อยู่ภายใต้การปกครอง

มันมีเมืองเล็ก ชื่อว่า จามานคร เมืองนี้ มีความเป็นอยู่สงบสุข มีผู้คน รวมๆ กันกว่า สองล้านคน สมัยนั้น มีกองกำลังที่มีกำลังพล แข็งแกร่ง และมากมายมหาศาล รุกรานตีเมืองอื่นเขาไปทั่ว

กองทัพขบวนนี้ ได้ผ่านทัพมา และจะตี เมืองชาว จามานคร เพื่อเอาเสบียงเลี้ยงกำลังพล ที่มีมากมายนั้น แต่เจ้าเมือง จามานคร ท่านไม่ยอม ท่านจะสู้

ท่านจะปกป้องเมือง ชาวจามานคร จึงมีความเห็นแตกแยก ออกเป็น สามกลุ่ม กลุ่มแรก เมื่อเจ้าเมืองคิดสู้ ก็ขอสู้ด้วย

กลุ่มที่สอง รักสันติ บอกให้เจ้าเมืองยอมเขา ต้อนรับเขาอย่างสันติ เรายอมทุกอย่างเราจะไม่สู้และโต้ตอบ

กลุ่มที่สาม มีความเชื่อว่า พวกข้าศึก คงไม่ไว้ชีวิตแน่ ให้เปิดประตูเมืองทางเหนือและอพยพผู้คนหนีไป ทิ้งเมืองไว้ดีกว่า

แต่เจ้าเมือง ขอยืนยันที่จะสู้ กับกำลังข้าศึกที่มีจำนวนมหาศาลนั้น ท่านให้เหตุผลว่า เมื่อชะตากรรม มันดำเนินมาให้เราต้องเผชิญ เราก็พึงยอมรับ

แต่เราเป็นผู้เลือกผลแห่งชะตากรรม ว่า จะสู้ ถอย หรือ นิ่งเฉยๆ หากเราถอย แน่นอน เราเสียเมือง โดยไร้แรงต้าน และไม่แน่ว่า พวกข้าศึก เขาก็รู้จักเส้นทาง และการหลบหนี ของเรารึเปล่า

เพราะผู้ที่หนี โจรมันย่อมรู้ว่า ต้องหอบทรัพย์สมบัติหลีกหนีออกไปด้วย หากเราเป็นโจรที่มาปล้นตีเมือง เราก็คงจะวางกำลังออกไปดักปล้นเช่นกัน เราจึงไม่ควรหนี

หากเราไม่หนี เลือกที่จะยอมแพ้ เราก็จะโดนย่ำยี โดยไร้แรงต้านเช่นกัน บ้านเราเมืองเรา มีเด็ก มีสาวมีผู้หญิงมากมาย

หากมันพอใจลูกเราเมียเรา หรือแม่เรา และมันข่มขืนใจเอา เรา..จะทนได้หรือ มหันตภัย มันมาเยือนเราแล้ว พี่น้องเอ๋ย ถึงคราวที่เราจะต้องเผชิญ

แม้ความเป็นจริงที่เผชิญ สู้ เราก็ตาย ไม่สู้ เราก็ตาย หลบหนี เราก็ตาย ความตายมันมา

รออยู่ตรงหน้าเมืองเราแล้ว

พี่น้องเอ๋ย หากใครจะหนี ขอให้ท่านหนีไปเถิด หากใครจะขอยอมแพ้ ปล่อยให้ศัตรูมาย่ำยี ตามอำเภอใจ ก็จงหลบอยู่ภายในบ้านเถิด ขอให้ปลอดภัย

แต่หากใครคิดจะปกป้องบ้านเมืองเรา ลูกหลานเรา ครอบครัวเรา เพื่อให้เขาได้มีโอกาสบ้าง ในช่องทางที่จะรอด เราจักขอสู้อย่างหมาจนตรอก

เพราะไม่มีอะไรจะเสีย มากไปกว่าชีวิตนี้ ที่จะเสียให้กับผืนแผ่นดินอีกแล้ว ขอท่านทั้งหลายที่จะปกป้อง เกียรติภูมิแห่งศักดิ์ศรีของชายชาตรี ที่จะขอยืนยันต้านทานกองกำลัง อันประเมินจำนวนไม่ได้

ขอให้จับดาบขึ้น และตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้า จักขอนำหน้าออกไปเผชิญความตาย ที่ไม่น่าพรั่นพรึงหรือทำให้ใจดวงนี้ ให้มันหวั่นไหวได้

ปรากฏว่า มีชาวเมือง ที่เป็นชายและหญิง พร้อมใจกันสู้ที่จะปกป้องเมือง เพื่อลูก เพื่อหลานและครอบครัว เป็นจำนวน 14,667 คน

จากผู้ที่พอมีกำลังกว่า 300,000 คน ในจำนวนคนกว่า 2,000,000 คน คนจำนวนหมื่นเศษ ดาหน้าออกไปยันเมืองไว้ กว่าล้าน แอบซ่อนตัวอยู่ในเมือง และอีกกว่าล้าน อพยพหลบหนี

แค่เปิดประตูเมืองเฮออกไปเพื่อต้านทานกองกำลัง กว่า 700,000 นาย เจ้าเมืองที่ขี่ม้าห้อมุ่งหน้า เพื่อที่จะก้าวเข้าไปหาความตาย

ท่านโดนดอกธนู ราวห่าฝนพุ่งเข้ามาปักอก และตามตัว มันแสนเจ็บปวดอย่างทรมาน แต่ก่อนจะกำลังแห่งกายจะถดถอยสิ้นไป

ท่านได้ มีโอกาสฟาดฟัน กองกำลังศัตรูไปเป็นสิบ และสิ้นชีพลงบนหลังม้า และม้านั้นก็ทนบาดเจ็บเพราะลูกธนู สิ้นใจตายไปเช่นกัน

ก่อนขาดใจตาย ท่านหันมองมายังเมือง และยิ้มอย่างผู้มีชัย มันมีชัยที่ชนะใจได้ทำหน้าที่อย่างมภูมิเกียรติ ที่ได้กำเนิดเกิดออกมา อย่างสมกาย ชายชาตรี

ส่วนพลพรรคที่อยู่ด้านหลัง ก็ได้ฟาดฟันและต่อสู้อย่างเต็มกำลัง อนิจจา ไม่ช้าไม่นาน กองกำลังที่มีใจอันยิ่งใหญ่ กว่าหมื่นคนเศษ ….ตายเรียบ..!!

ไม่เหลือ แม้ซักคนเดียว แต่ก่อนตาย ทุกคนมีความภูมิใจ ในสมรภูมินี้ อย่างเต็มกำลัง เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ที่ได้เกิดมา อย่างสมศักดิ์ศรี ในการเป็นมนุษย์

พวกข้าศึกเมื่อสังหารผู้ต่อต้านกว่าหมื่นเศษเรียบ ต่างก็เฮเข้าสู่ตัวเมือง ประชาชนผู้ไม่อยากต้านและไม่อยากหนี ต่างพากันยอมหมอบกราบ ขอให้ไว้ชีวิต และยินดี ทำตามความต้องการทุกอย่างเพื่อความสันติ

เหล่าข้าศึก จึงไล่ต้อนชาวเมืองออกมารวมกลุ่มหน้าพระลานหน้าวัง ขณะที่ไล่ต้อน เมื่อเจอผู้หญิงที่ต้องตา พวกมันก็จะพากันข่มขืน

พวกผู้ชายที่เป็นผัว เป็นพ่อ เป็นลูก ต่างตะลึงพรึงเพริด ที่คนรักของตนเองโดนพวกทหารข้าศึก มันย่ำยี มันไม่มีกฏหมายอะไรมารับรอง ความเป็นอหิงสาของพวกเขาเลย

พวกผู้ชายต่างมองคนอื่นข่มขืน ลูกเมียและแม้แต่แม่ของตัวเอง มันแสนจะขมขื่นและทนไม่ได้ ต่างก็ขัดขืนจะเข้าไปฆ่า คนที่มาข่มแหงคนที่ตัวเองรัก

แต่..อนิจจา แขนที่โดนตรึง มันหาแรงที่ไหนจะดิ้นเข้าไปช่วย ก็ทำได้แค่เพียงกู่ร้องตะโกนด่า มีสิทธิ์ดิ้นรนได้เแค่นี้ มันหัวเราะอย่างสะใจ ก่อนที่จะให้เหล่าหมู่มวลทหารอื่น รุมขยี้กามกันต่อ

ลูกเอย เมียเอย แม่เอย คนที่รักเอย ตายคาสนามกาม เพราะขัดขืนดิ้นรน บ้างก็ตายเพราะทนไม่ไหวที่โดนรุมข่มขืน ส่วนผู้แก่ ผู้เฒ่าที่ไม่มีประโยชน์ มันก็ฟาดฟันฆ่าตายเรียบ

พวกผู้ชาย ต่างพากันร้องไห้อย่างโหยหวล มันโหยหวลที่ไม่ได้ออกไปร่วมต่อสู้ ขอแค่ได้กัด..มันซักครั้งก่อนชีวิตนี้สิ้นใจก็คงเป็นสุขอย่างประมาณไม่ได้ ขอแค่…ได้ขบกัดมันก็ได้ ขอแค่ได้กัดมันซักครั้ง…ก่อนมันข้ากูตาย

หลายท่านคิดถึงเจ้าเมือง คิดถึงเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ได้มีโอกาส ออกไปฟาดฟันศัตรูมัน เขากัดฟันกรอดๆ เพราะความแค้นใจ ที่ได้ตัดสินใจผิดไป

ก่อนที่เขาจะโดนฆ่าตาย ขอมองไปยังท้องฟ้า แล้วกล่าวในใจ เขา…ขอโทษ ความมีสันติมันก่อเกิดไม่ได้ ในใจโจร

เรายอม แต่โจรมันรุกรานและย่ำยี ความดีนี้ ใช้ไม่ได้กับพวกที่มีใจเป็นโจร พวกท่านที่ได้ออกไปฟาดฟันสู้รบ ท่านทั้งหลาย…ใจช่างยิ่งใหญ่ยิ่งนัก

ส่วนพวกที่อพยพหนีไป ปรากฏว่า พวกกองกำลังข้าศึก เขาก็รู้แกว ได้ออกไปดัก ฆ่าและปล้น ตายเกือบหมดเช่นกัน

นั้นเพราะเหตุที่หวงทรัพย์สิน จึงได้เกิดการต่อสู้กัน แต่ใจที่พ่ายแพ้ มาแต่ก่อนรบ ไฉนเลย มันจะมีกำลังใจสู้ ที่สุด ก็ตายเกือบเรียบ และโดนต้อนกลับมาเป็นทาสเชลย กลับสู่เมือง

ข้าลืมตาขึ้นมาจากฝันเกือบรุ่งแจ้ง มีน้ำตาไหลออกมารออยู่แล้ว สงสารพวกชาวเมือง กว่าหมื่นคน ที่คิดปกป้องเมือง สงสารชาวเมืองที่ไม่คิดสู้ และสงสารชาวเมือง ที่หนีเอาตัวรอด

เพราะเหตุแห่งฝันนี้ ข้าถึงได้เข้าใจว่า มันจะมีคนที่ออกมาปกป้อง ในสิ่งเราหวงแหน ในสิ่งที่เราร่วมสร้าง ร่วมทำให้แก่แผ่นดิน คงมีแค่ 14,667 คนเท่านั้นกระมั้ง

แก…บั๊กแสง แกเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นรึเปล่า…หือ..!!! เที่ยงนี้ ขอสวัสดี

วันที่ 10 มีนาคม 2557