ว่ากันถึงเรื่องญาน

ว่ากันถึงเรื่องญาน

357
0
แบ่งปัน

****** ว่ากันถึงเรื่องญาน *******

มีคำถามจากเม้นท์ข้างบนมาว่า…

>> สาธุ กราบนมัสการ พอจ. ประตูแรกของขั้นนี้คือ ญาน ขอโอกาส พอจ อธิบายการเกิดซึ่งญานในกาลที่เหมาะสมครับ

<< ขออธิบายคร่าวๆว่า…..คำถามนี้มันอธิบายได้ทั้งโลกเลยทีเดียว

เราเอาญานเฉพาะกาลกันก็พอ

ณานนี้ สร้างสมมาแต่อดีตก็มี

ณานที่สร้างสมมาแต่อดีตย่อมแสดงออกมาทาง เจโตปริยญาน

เจโตปริยญานนี่ ค่อยมาขยาย

อีกประเภทหนึ่ง ก็คือ ปัญญาญาน

ปัญญาญานนี้ เกิดจากสติปัจจุบันที่พิจารณาหมุนวนรอบเข้าไปถึง

ปัญญาญานนี่ เกิดจากผัสสะ ที่พิจารณาจนเป็นผล รู้เห็นในสิ่งที่เจ้าของไม่เคยรู้เห็นมาก่อน

ไม่ใช่ตรึกตรองตามภาวะสัญญา

ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด

ไม่ใช่การคาดเดา

ไม่ใช่ตรรกะ

ไม่ใช่ปรัญญา

แต่เป็นผลของการสาวลึกลงไปตามเหตุตามปัจจัยจน
ปัญญาแสดงผลออกมา อย่างที่เจ้าของไม่เคยรู้เห็น
มาก่อน

และสามารถยืนยันได้ด้วยใจเจ้าของเอง ตรงนี้บาลีเรียกว่า จักษุญาน

คือ เห็นแจ้งเห็นตรง ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับกองสัญญาในภาวะแห่งจิต

เรื่องนี้…มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

คำว่าญานนี้ ก็คือ ความแจ้งในปัญญา เรียกว่า จักษุญาน

ญานนี้ เป็นธารที่มาของผู้มีวาสนาภูมิให้ได้ เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ

ผู้ที่เข้าถึงเจโตวิมุติ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า…

แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ทุศีล แต่ความทุศีลของเขาย่อมโดน
เหลาโดยวิมุตติแห่งญานได้

เขาย่อมพ้นไปในโลกแห่งความทุกข์ยากทั้งหลายได้ด้วยอำนาจแห่ง…ญานวิมุตติ

การจะสร้างกระแสญานขึ้นมาได้ คือ การปฏิบัติอย่าง
เข้มข้น วางกฏระเบียบใจ บังคับตนเองไปในทางทวนกระแสโลก

แต่ก็ใช่ว่า การปฏิบัติอย่างเข้มข้น และมีระเบียบวินัยจัด จะเป็นตัววัดว่า เจ้าของจะเข้าถึงญานวิมุตติก็หาใช่ไม่

เจ้าของอาจตายฟรี ด้วยความโง่ที่มีและเข้าใจว่าต้องทำ
เช่นนี้ๆๆอย่างโลกเขาว่า…

มันเหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกงอม มันอ่อนจัด
บ่มแค่ไหน มันก็ไม่อาจสุกหวานหอมขึ้นมาได้

ผลไม้ที่ถึงกาลแก่จัดนำมาบ่มมารักษาได้ไม่นาน มันก็สุกหวานหอมให้เจ้าของได้ลิ้มลองและชื่นใจได้

ฉะนั้น จะไปวัดกันตรงการปฏิบัตินี่ไม่ได้

กำลังญานที่สร้างสมมาในภวังค์จิตนี่ มันมีไม่เสมอกัน

แต่ชนทั้งหลาย สามารถเกิด ปัญญาญานได้

การเกิดปัญญาน คือ การได้รับฟังธรรมจากสัตบุรุษ

ความเห็นแจ้งในร่องธรรม มันก็จะเกิดญานรู้ขึ้นมา

เมื่อเกิด ก็ย่อมมี…ศรัทธา

เมื่อมีศรัทธา ก็ย่อมมี…การพิจารณา

เมื่อมีการพิจารณา ก็ย่อมมี…สติ

เมื่อมีสติ ก็ย่อมมี…ปัญญาเกิดความสำรวม

เมื่อเกิดความสำรวม ย่อมได้ชื่อว่า…เป็นผู้มีศีล

ผู้มีศีลย่อมมีสติและสัมปชัญญะเป็นปกติใจ

ใจที่ปกติ ย่อมมีสติรู้เท่าทันผัสสะ

เมื่อผัสสะก็ย่อมเกิดการพิจารณา

การพิจารณาก็ย่อมเกิดมีปัญญาที่เป็นกำลังให้แก่เจ้าของ

ใจที่มีปัญญามีสติพิจารณา เรียกว่า ใจดำเนินมาทาง
มรรค ผล ก็คือ นิโรธะ

ผู้ที่สงบไม่ทุรนทุรายเพราะเหตุแห่งการพิจารณาจนเป็นปกติ ย่อมเกิดญานรู้ขึ้นมา ตามกำลังแห่งปัญญา

กรวดเม็ดเล็กๆ มันย่อมเห็นเด่นชัดว่า มันเป็นก้อนใหญ่ในเม็ดทราย

แต่กรวดทั้งหลาย ย่อมเป็นกรวดเม็ดเล็กๆ ถ้าไม่มีทรายมาหนุนความเล็กๆให้มันใหญ่ขึ้น

กรวดไม่ได้เล็กหรือใหญ่ กรวดก็คือกรวด เป็นแต่ใจเจ้าของนี่แหละ

ที่หันออกไปให้นิยามมัน ว่า ใหญ่หรือเล็ก ก็เนื่องด้วยปัจจัยเป็นเหตุ

หากไร้ทราย ความหมายแห่งกรวดเม็ดใหญ่ ย่อมไม่มี

นี่…ปัญญาญานมันเกิด มันจะแยกแยะออกมาให้เจ้าของ
รู้เห็นตรงตามความเป็นจริง

ความเป็นจริงนี้ ที่รู้เห็น นี่…ท่านเรียกกันว่า ญาน…

และญานนี้ มันเกิดขึ้นมาของแต่ละบุคคลไม่เท่ากันอีก

ญานแห่งสุขวิปัสโกก็มี

ญานแห่งเตวิชโชก็มี

ญานแห่งฉฬภิญโยก็มี

ญานแห่งปฏิสัมภิทาก็มี

ญานเหล่านี้ คือความรู้แจ้ง ที่ปรากฏขึ้นแก่จิตดวงนี้

ญานเหล่านี้ เป็นสาธารณะแห่งปัจเจกบุคคล

ผู้ได้ญาน ย่อมรู้ชัดถึงกลไกแห่งธรรมชาติ ตามกำลังแห่งญานที่เรียกว่าปัญญา

ปัญญาญานของแต่ละคน ย่อมไม่เท่ากัน ตามเหตุปัจจัยที่สร้างสมมา

ฉะนั้น เราพึงพอใจแค่ความรู้แจ้งที่เราพึงมี

ผู้ได้ญานรู้แจ้ง ใช่ว่าจะรู้อะไรไปซะหมด

เพียงแต่ทั้งหมดที่ไม่รู้

ผู้รู้แจ้งชัด ท่านก็รู้ว่า

มันเป็นของมันเช่นนั้นเองตามเหตุปัจจัย..!!

วันที่ 14 ตุลาคม 2558