ปฏิบัติจนไม่กินไม่นอน นี่ก็เป็นอาการของกิเลส

ปฏิบัติจนไม่กินไม่นอน นี่ก็เป็นอาการของกิเลส

324
0
แบ่งปัน

***** ปฏิบัติจนไม่กินไม่นอน นี่ก็เป็นอาการของกิเลส *****

>> คำถาม : หลวงพี่คะ ได้ยินมาว่า…

มีการปฏิบัติจนร่างกายต่อต้านการทานอาหาร จนทำให้ป่วยเลย

อาการแบบนี้ คืออะไร และมีสาเหตุ หรือ มีวิธีแก้ไข อย่างไรได้บ้าง คะ

รบกวนหลวงพี่ ช่วยชี้อธิบายซักนิดได้มั๊ยคะ

<< พระอาจารย์ : ข้าจะอธิบายให้ฟัง ฟังไหม

>> ลูกศิษย์ : ฟังค่ะ

<< พระอาจารย์ : คนที่ปฏิบัติจนกายไม่ต้องการอาหารนี่ เป็นเรื่องของคนที่จิตมันประจักษ์จิต หมายความว่า

ระดับจิตเข้าถึงการแยกตัวตนออกมาอย่างชัดเจน มันย้อนกลับมาเห็นว่า

กายก็อย่างหนึ่ง เวทนาก็อย่างหนึ่ง ผู้รู้อาการก็อย่างหนึ่ง ผู้ดูผู้รู้เวทนาและกายก็อย่างหนึ่ง

เกิดด้วยอำนาจ เจโตก็มี เกิดด้วยอำนาจปัญญาที่สอดส่องลงไปก็มี

อาการเช่นนี้…มันไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ มันเป็นอาการแห่งจิต

คำว่าเรานี้ มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง สรุปก็คือ มันเป็นญานตัวหนึ่ง ของอาการแห่งจิตที่่ถึงจุดหนึ่ง แล้วมันผวนตัวเอง

ซึ่งก็เป็นการกลับลำที่ไม่ว่าไปตามสัญชาติญาณ มันคล้ายกับว่า จิตมันเรียงโปรแกรมใหม่

อุปาทานทั้งหลาย มันเหมือนจะปลดปล่อยไป มันเหมือนกับว่า จิตมันรู้ตัวมันเองว่ามันน่ะหลงมานานแสนนาน และมันจะไม่หลงต่อไปอีกละ

ภาวะโปรแกรมการปรุงต่างๆ มันจึงปลดปล่อย ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่เป็นสมมุติสัญญา ดั่งกระแสที่มันไหลตามไปตามผัสสะ

ข้าจะอธิบายอาการที่ประสบมาให้ฟัง จริงๆแล้ว จิตน่ะไม่ใช่ตัวรู้ จิตมันไม่รู้อะไรทั้งสิ้น

แต่อาการที่เข้าไปปรุงแต่งจิตนี่ มันเป็นใจที่ครองอัตภาพนี้ เป็นตัวตนนี้ และสังขารนี้ ที่มันปรุงแต่งใหม่ขึ้นมา

พูดง่ายๆว่า มันไม่ยอมจำนนต่อเวทนาทั้งหลาย ซึ่งปกติ เราต้องจำนน เพราะมันเป็นธรรมชาติแห่งการรักษารูป ไม่ให้เสียหายสูญสลาย

สมัยหนึ่ง ข้านี่ฝึกอย่างหนัก ข้านี่แยกกาย เวทนา ตัวรู้ ผู้รู้ ได้มาก่อนที่ข้าจะบวช

เมื่อบวช และดำเนินไปตามวิถีแห่งญาน มันเกิดการพิจารณาสอดส่องลงไปลึก มันเกิดภาวะอย่างหนึ่งขึ้นมา

นั่นก็คือ มันไม่กินอาหาร มันไม่นอน มันไม่เดือดร้อนกับเวทนาทั้งหลาย เพราะโปรแกรมส่วนหนึ่ง มันผวนตัวเอง

มันทราบชัดด้วยผู้รู้และผู้ดูว่า กายก็อย่างหนึ่ง เวทนาก็อย่างหนึ่ง อาการต่างๆที่ผัสสะ มันเป็นสิ่งที่ไม่จริง ที่จริงมันเป็นแค่สมมุติอาการ ที่เป็นเวทนา ปรุงแต่งจากจิต และเป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้น

อาการหิวก็ยังมี แต่มันกินไม่ลง มันไม่อยากกินทั้งๆที่หิว ง่วงมันก็ยังมี แต่มันไม่ยอมหลับ ทั้งๆที่ง่วงแสนง่วง

เพราะมันทราบชัดว่า ง่วง มันเป็นแค่สมมุติอาการ มันไม่มีเจ้าของง่วง ไม่มีเจ้าของหิว ไม่มีเจ้าของในเวทนาที่ผัสสะทั้งหลาย

ปกติแล้ว…ใจดวงนี้ มันจะไหลไปตามอาการที่กายมันผัสสะ มันหิว แต่ใจมันไม่อยากกิน

ที่สำคัญ มันกินไม่ลง มันรู้ชัดว่าอาการหิว มันเป็นแค่อาการที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของหิว

กายมันไม่เคยหิว กายมันไม่เคยง่วง กายมันไม่เคยเจ็บ กายมันไม่เคยอยากอะไร

มีแต่ใจดวงนี้ ที่สร้างโปรแกรมต่างๆเป็นเวทนาขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพื่อรักษารูปนี้

นี่…เป็นความหลง ที่จิตมันค้นพบตัวมันเอง และภาวะนี้ จิตมันก็ไม่รู้ว่ามันกำลังหลงอยู่อีกเช่นกัน

นี่…อาการเช่นนี้ เป็น อุปกิเลสตัวหนึ่ง ที่คนไร้ปัญญาฝ่าฟันและข้ามไปยาก

ร่างนี้จะตายไปด้วยการปฏิบัติที่เหมือนจะถูก อาการพวกนี้เป็นแค่เปลือกอย่างหนึ่ง ที่ห่อหุ้มความจริงบางอย่างไว้ภายใน

แต่เจ้าของแกะเปลือกไม่เป็น ก็จะได้แค่เปลือก และตายไปฟรีๆ โดยที่ยังไม่เจาะเข้าไปถึงเนื้อเยื่อ เอามาฟอกใจ

ข้าเองนี่ ต้องพยายามฝืนกิน ต้องพยายามพักให้ได้ด้วยการเข้าสมาธิ ถึงขั้นนี้สมาธิมันก็ไม่เอา

นี่…มันฝืนหมดทุกช่องทาง

กว่าสองเดือนที่ข้าต้องพยายามกินใบไม้ กินเพื่อให้ยังชีพอยู่ได้ ข้าเดินจงกลมทั้งวันทั้งคืน ก็มันไม่ยอมนอน พาลจะตายเอา

ข้ารู้ชัดว่า ถ้าตายตอนนั้น ข้ายังข้ามวัฏฏะไปไม่ได้ และมันก็ต้องหวนกลับมา ทบทวนอาการเช่นนี้ไปอีกหลายชาติ

ซึ่่งมันก็ไม่ใช่ข้า ที่เป็นข้าอีก ข้าจึงตายไม่ได้ ไปบิณฑบาตรมาก็นั่งมอง มันกินไม่ได้ จนเหม็นเน่า

มันไม่กินอาหารในสัญญา มันเหม็นเบื่อและเกิดความ
สะอิดสะเอียน ข้าจึงต้องยังชีพด้วยใบไม้

ใบไม้มันไม่ใช่อาหารแห่งกายนี้โดยสัญญาแห่งอัตภาพ

ที่สุด…การพิจารณาสอดส่องหาอุบายจิตตลอดสามเดือน มันก็ให้ผล

ใบไม้ที่กินเข้าไปนั่นแหละ มันเข้าไปย้อมจิตใหม่ ย้อมใจด้วยวิปัสสนาญานทัศนะว่า…

กายนี้ อยู่ได้ด้วยอาหาร…เป็นธรรมดา

กายนี้ ต้องพักการใช้งาน…เป็นธรรมดา

กายนี้ ประกอบด้วย เวทนา…เป็นธรรมดา

เวทนาทั้งหลาย แม้ไม่เกี่ยวกับกาย แต่กายเป็นที่ตั้งแห่งอายตนะ

และอายตนะนี้ เป็นเหตุช่องทางแห่งการผัสสะ เพื่อให้เกิดเป็นเวทนา

แม้กายจะไม่เป็นตัวเวทนา แต่เวทนาตัวนี้ มันอาศัยกายเป็นช่องเกิด

ช่องที่เรียกกันว่า อายตนะ อันประกอบด้วย ตา หู ลิ้น จมูก กาย และอารมณ์

เวทนาทั้งหลาย มันเป็นอาการแห่งจิต ไม่ใช่เป็น
อาการที่กายมันเป็น และจิตที่แสดงออกมาเป็นเวทนานี้

มันเป็นธรรมชาติ ปรุงแต่งไปตามเหตุและปัจจัยที่
เรียกว่า…ธรรม

มันอาศัยซึ่งกันและกัน เรียกว่า…อิทัปปัจจยตา

และอาการทั้งหลาย มันร้อยเรียงกันมาตามธรรมชาติ
แห่งการปรุงแต่งของมัน

การที่ตัวเรา ไม่ทำหน้าที่ฝืน มันก็เหมือนกับอีกด้านหนึ่ง ที่คำว่าเรา มันไม่ฝืนกิเลสที่เราเคยเป็นไปตามกระแส

สมัยหนึ่ง เราพยายามฝืนกระแสกิเลส ด้วยการ ไม่กิน ไม่นอน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น
เพราะตัวเรามันรู้ว่า นี่มันเป็นกระแสแห่งกิเลส

เมื่อจิตมันมาผวน ไม่เอากระแสนี้ เหมือนอย่างที่ใจเราไม่เอาเมื่อเกิดการปฏิบัติ

แต่ใจดวงนี้ กลับไหลไปตามกระแสจิต ที่มันไม่เอาอะไร ไม่กิน ไม่นอน ไม่เอาเวทนาทั้งหลาย

นี่..ก็เป็นกิเลสที่พลิกกลับมาอีกด้านหนึ่งเหมือนๆกัน คือใจมันไหลไปกัยกระแส ที่จะไม่เอา ไม่กิน ไม่นอน

นี่..ถึงได้บอกว่า ญานตัวนี้ ก็เป็นกิเลส ที่เห็นยาก ตีบแคบ หาทางออกไม่เจอ

ที่สุดก็จะตายฟรีๆ ด้วยการปฏิบัติที่โง่งมงาย เพราะใจมันยึดดีว่านี่ เป็นภาวะที่ไม่เอาอะไร แม้กายจะตาย มันก็ไม่เอา จิตมันปฏิเสธเวทนา

ฉนั้น เจ้าของต้องพยายามฝืนเพื่อที่จะเอา ฝืนเพื่อที่จะกิน ฝืนเพื่อที่จะนอนจะพักผ่อนตามธรรมชาติเดิมๆ ที่มันเคยปรุงกันมา

เรียกง่ายๆว่า เจ้าของต้องสร้างตัณหาขึ้นมา สร้างตัณหาขึ้นมาย้อมจิตใหม่ ให้มันเจือจางความไม่มีตัณหาทั้งหลาย ที่กำลังเกิดภาวะขึ้นมา

เพราะจิตมันก็ไม่รู้ว่า อาการที่มันเป็น มันก็เป็นกิเลสและตัณหาที่มันปรุงขึ้นมาใหม่เช่นกัน เพียงแต่มันพลิกกลับด้านกันเท่านั้น

นี่…เมื่อเกิดญาณวิปัสสนาเข้ามาสอดส่องย้อมลงไปๆๆๆ

ที่สุดโลกธาตุมันก็หวั่นไหว มันรู้อยู่ภายในว่า…

ชีวิต มันดำเนินไปตามครรลองวิถี ที่มันมีที่มันเป็นไป
ตามสมมุติของมัน เช่นนั้นแล

สติปัญญาอันแยบคายในการพิจารณานี่สำคัญ ไม่ใช่ เฝ้าดู กาย เวทนา จิต จนไม่เกิดปัญญามองเห็นธรรมชาติของมัน

ข้าจึงรอดชีวิตกลับออกมาได้ และเมื่อย้อนกลับไป
ในภวังค์จิต มันเห็นชัดว่า…

จิตดวงนี้ มันติดอยู่เช่นนี้ หลายร้อยชาติเลยทีเดียว มันแก้ตัวมันเองไม่ได้

กาลมันยังไม่สุกงอมพอในเรื่องของปัญญา

มาชาตินี้ มันพอแก่งอมลงได้บ้าง มันจึงผ่านโจทย์ทั้งหลายที่เป็นอาการแห่งจิต

ที่สุด…ข้าก็สามารถกลับมากินข้าว กลับมาเอนพักหลับนอนได้เป็นปกติ

นี่…อาการแห่งจิตที่เข้าไปรู้ไปเห็นยากมาก

<< ส่วนที่ถามมานั้น…เข้าใจว่า ผู้ปฏิบัติข่มด้วยกำลังแห่งสมาธิ เพื่อดับเวทนาทั้งหลายจนกายป่วยลง

การป่วยนี่ เป็นตัวฟ้องว่า…

ยังเข้าไม่ถึงขั้นนี้ที่ข้าเข้าไปเห็น เพราะกาย มันไม่มีป่วย จิตเป็นตัวป่วย

และป่วยนี้ เป็นสมมุติโปรแกรม มันไม่ป่วยจริง มันเป็นแค่ตัวแสดงสัญลักษณ์ของอาการแห่งจิตที่ให้หยุดยั้งการกระทำ ก็แค่นั้น

เมื่อจิตยังทำหน้าที่ และใจเจ้าของยังป่วยตามกระแส
สมมุตินั้น

นี่…เป็นผลย่อมแสดงว่า อาการทั้งหลายที่เป็น เกิดจาก
การข่มเวทนาด้วยสมาธิ และเป็นกิเลสตัวหนึ่ง ที่เจ้าของต้านกระแสไม่ไหว

มันแค่พลิกไปสู่ภาวะกระแสอีกด้านหนึ่ง เมื่อปัญญาไม่สุกงอม เป็นธรรมดาที่มันต้องไหลไปตามกระแส

นี่..เป็นเพราะ กิเลสมันละเอียดเกินกว่าปัญญาที่มี จึงพิจารณาตีตัณหาเหล่านี้แห่งจิตไม่แตก

การเกิดอาการเช่นนี้ มันเกิดจาก ทำจนเคยชิน มันก็เลยไม่กิน ไม่ได้เกิดจากการผวน
ของจิตที่เป็นธรรมชาติของมัน

แต่ก็เป็นวิถีญานระดับหนึ่ง ที่เจ้าของต้องพยายามฝืน ในสิ่งตรงกันข้ามจากที่จิตมันปรุงมาทางด้าน ไม่กิน ไม่เอา ไม่นอน

โอเคนะ… คืนนี้พอแค่นี้

วันที่ 13 ตุลาคม 2558