เชื่อด้วยความโง่ ก็ไม่สมควรไปทำลายด้วยอัตตาแห่งเรา

เชื่อด้วยความโง่ ก็ไม่สมควรไปทำลายด้วยอัตตาแห่งเรา

616
0
แบ่งปัน

****** เชื่อด้วยความโง่ ก็ไม่สมควรไปทำลายด้วยอัตตาแห่งเรา ****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

ความเชื่อของบุคคลนี่ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ตามเหตุปัจจัยของเจ้าของ ที่ได้สัมผัสและจดจำมา

แม้มันจะถูกหรือผิด มันก็เป็นอาการหนึ่งของจิต ที่แสดงออกมาทางภูมิปัญญา

การทำลายความเชื่อ มันเป็นอัตตาอย่างแรงกล้า ที่โต่งไปในหนทาง ที่ชอบใจและไม่ชอบใจ

หากชอบใจ มันก็จะเออออด้วย

หากไม่ชอบใจ ก็จะเห็นแย้งในความเชื่อนั้น

การเห็นแย้งนี่ เกิดจากอัตตาตัวตน ที่เข้าไปในความเป็นเจ้าของความเห็น

เจ้าของความเห็นนี่ เกิดจาก อุปาทานยึดมั่นถือมั่น

อุปทานยึดมั่นถือมั่น เกิดจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจดวงนี้โดยไม่รู้จบ

ใจดวงนี้ เกิดจากความรู้สึก ที่อาศัยผัสสะมาปรุงแต่ง

ตราบใดที่ยังมีสังขาร การปรุงแต่งแห่งผัสสะย่อมมีเป็นธรรมดา

ฉะนั้น การเข้าไปล้มไปแย้งธรรมทั้งหลายด้วยความเห็นแห่งตน

มันเป็นมิจฉาทิฏฐิตัวหนึ่ง ที่ยึดมั่นในอุปาทาน

แม้การปล่อยวาง ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิตัวหนึ่ง ที่เข้าข้างอุปาทานตนเช่นกัน

พุทธะ ชี้ให้เห็นเหตุเห็นผล

ผู้เห็นเหตุเห็นผล ย่อมไม่ได้จำนนต่อฟากใดฟากหนึ่ง

แต่เป็นผู้ที่เลือกในทางที่จะดำเนินตามเหตุปัจจัยได้ อย่างชาญฉลาด

ไม่ตกลงไปในกระแสแห่งความเชี่ยวกราด ที่เรียกว่า… สมุทัย

ผู้ที่เดินทางเช่นนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเดินทางสายกลาง

ทางสายกลางคือ การยอมรับตามเหตุปัจจัย

ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันต่างมีเหตุปัจจัย เป็นของมันเช่นนั้นเอง

เรา..อย่าไปเสือกกับเหตุปัจจัยให้มันมากนัก

บางท่านนับถือ.. ผี

บางท่านนับถือ.. พระภูมิเจ้าที่

บางท่านนับถือ.. อักษรในกระดาษ

บางท่านนับถือ.. รูปเคารพ

บางท่านนับถือ.. การบวงสรวง

บางท่านนับถือ.. พระเจ้า

บางท่านนับถือ.. พระพุทธเจ้า

และหลากหลายในความเห็นแห่งการนับถือ

การนับถือนี่ มันเป็นความเชื่อ

แต่ละท่านนี่ มีความเชื่อไม่เหมือนกัน

พุทธศาสนา ไม่ได้ชี้ไปที่จะสอนการทำลายความเชื่อ ที่เขานับถือ

แต่ชี้ผลและเหตุ ในสิ่งที่เขานับถือ ว่ามันเป็นอย่างไร

การนับถือของแต่ละคน จึงไม่ควรไปทำลาย เพราะความเห็นส่วนตน

เมื่อผู้คนได้รับการชี้แนะโดยปัญญา

เขาย่อมเลือกทางของเขาเอง ที่จะดำเนินวิถีทางของเขา

คนเรา เมื่อเข้าใจตรง มันก็จะถอดถอนของมันเอง

การไปบอก ไปชี้ให้เขาถอดถอน

มันเป็นอัตตาตัวหนึ่ง ที่เจ้าของยังอยู่ในฟากโต่งอยู่

……ผู้ที่ยังโต่งอยู่

การดำเนินวิถีจิต ย่อมไม่ได้ดำเนินไปตามวิถีแห่งมรรคา

นี่..การล้มล้างความเชื่อนี่ มันเป็นตัณหา

เป็นตัณหาจากเจ้าของ ที่อยากจะให้ได้ดั่งใจตนเป็นเหตุ..

ใครจะยึดมั่นอะไร นับถืออะไร มันก็ถูกใครของเขาทั้งนั้น

สมัยหนึ่ง ข้าอยู่กับฤษีในป่า

ฤษีเหล่านี้เขาเชื่อว่า

การเป็นอยู่ของเขานี่ เป็นที่ชื่นชอบของพ่อปู่

ข้าเคยถามว่า ไหนพ่อปู่ พ่อปู่อยู่ไหน เคยเห็นพ่อปู่ไหม

เขาส่ายหน้า กลายเป็นว่า พ่อปู่นี่ เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้

และพ่อปู่นี่ เกิดจากการถ่ายถอดด้วยความเชื่อ สืบๆ ต่อๆกันมา

แต่เขาก็เชื่ออย่างนั้น เราไปถอดถอนเขาไม่ได้

ถอดถอนเมื่อไหร่ ก็อยู่ร่วมกับเขาไม่ได้

คำว่าพ่อปู่นี่ จึงเป็นที่มาของการอ้าง เมื่อกิเลสต้องการอะไร

เพราะมันไม่มีใครสัมผัสพ่อปู่ได้

เมื่อผู้ที่เป็นใหญ่ในหมู่พวกเขา อ้างว่า….

เป็นคำสั่งของพ่อปู่ ที่ท่านสั่งมาจากเบื้องบน

เช่นนี้ ใครๆ ก็ต้องฟัง ไม่ฟังไม่ได้

เพราะจะมีอันเป็นไป ด้วยอำนาจของพ่อปู่

นี่..การชี้แนะ ให้เห็นชัดว่าพ่อปู่นั้นเป็นแค่ความเชื่อ ไม่มีอำนาจอะไรเขาย่อมไม่เชื่อ
และเราไม่สมควรไปทำลายความเชื่อของเขา ด้วยทิฏฐิเรา

ให้เขาต้องเชื่อเราหากเรายังไม่มีธรรมมารองรับเพียงพอ ที่จะชี้แจงพร้อมเหตุพร้อมผลตามธรรมที่เขาแย้งไม่ได้

และสมัยนั้น ข้าเอง แม้ไม่ค่อยเชื่อสิ่งเหล่านี้

แต่ก็ไม่แย้งอะไรเขาไป เพราะข้าอาศัยอยู่กับพวกเขา

ธรรมที่จะบอกกับพวกเขา มันก็ยังไม่ชัดเจน

มันยังยืนยันไม่ได้ มันเป็นแต่เพียงธรรมจดจำที่ฟังๆ มา

บอกอะไรเขาไปตามที่จดจำมา เขาย่อมไม่เชื่อ

เพราะภูมิปัญญามันไม่หนีกัน มันดักภูมิกระทำ ด้วยความจริงที่ลึกลงไป มารองรับไม่ได้

นี่..ธรรมแห่งความแจ้ง กับธรรมแห่งการจำ มันมีกำแพงกั้นอยู่ตรงนี้

พระพุทธองค์ท่าน มีความแจ้งแห่งธรรม ธรรมทั้งหลายท่านจึงขยายและรองรับในสิ่งที่ผู้คนนับถือและยึดมั่นได้

ธรรมทั้งหลายแห่งความเชื่อ มันต้องคลายด้วยภูมิปัญญาของเจ้าของเอง

ผู้รู้เป็นแค่ผู้ชี้ ไม่ใช่เป็นผู้ชี้ที่จะให้ผู้อื่นเชื่อฟังหรือทำตามความคิดตน

ขอสาธุคุณกับเจ้าของภาพที่ส่งมาให้ด้วย

วันที่ 10 ตุลาคม 2558