ระลึกชาติก็ทำให้เกิดปัญญา

ระลึกชาติก็ทำให้เกิดปัญญา

625
0
แบ่งปัน

****** ระลึกชาติก็ทำให้เกิดปัญญา *****

หวัดดี…..

คุยเรื่องไรดี เรื่องอินเดีย สรุปชื่อ แน่นอนแค่สิ้นเดือนนี้ ทางอินเดียต้องจองโรงแรมอีก เราต้องจ่ายค่าโรงแรม ตั้งใจๆหน่อย มีเท่าไหร่ก็ลงๆ กันไปก่อน

เราคนไทย มักจะมีเรื่องใช้จำเป็นก่อนเสมอ สัจจะนี่สำคัญเลยเชียว เราตั้งใจอะไร เราต้องข่มใจ นี่….เป็นตัวธรรม

สัจจะที่ขาดการข่มใจ… อธิฐานนี่จะไม่มี

คนไม่มีอธิฐาน ก็คือ… ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ

สำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่ใจเราย้อม เวลาแห่งชีวิตน่ะ มีไม่มากหรอก ย้อมไม่ทันได้ที่ ก็วายปราณซะก่อนแล้ว

ทางโลก… ก็ว่าไปตามสมมุติ

ทางธรรม… ก็ว่าไปตามรู้ทันสมมุติ มันอยู่คู่กัน

คำพูดนี่สำคัญ เรายึดสัญญาแห่งคำพูดนี่เป็นสรณะ ถ้าไม่นับถือกันอย่างสนิทใจ
เรื่องคำพูดนี่ อย่าเชียว

คำๆ เดียวกัน แต่ใช้กับบุคคลต่างใจกัน มันละความหมายกัน

ของเรามันพูดหวังดี พอเขาไม่รับความหวังดี งั้นกูไม่พูดแร๊ะ นี่.. โต่ง สวิงไปมาคนละด้าน

ผู้ที่ย้อมใจเช่นนี้อยู่เนืองๆ
ก็จะกลายเป็นการกระทำอยู่เป็นประจำ

ทำเป็นประจำ ก็ย่อมทำจนเป็นความเคยชิน

ทำจนเคยชิน มันก็ย่อมเป็นนิสัย

ทำจนเป็นนิสัย ก็ย่อมกลายเป็นสันดาน

สันดานนี่ ขุดออกยาก มันพอกกันข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว

สันดานนี่ มันพอกมากขุดไม่ออก ก็กลายเป็นอนุสัย มันติดตามกันไปยากถอดถอน

ข้านี่ มีกำลังแห่งสติสูง อันเกิดจากการสร้างสมเป็นสันดานมาหลายภพชาติ เรียกว่า เป็นล้านๆชาติทีเดียว พูดงี้ ใครมันก็โม้ได้ เพราะไม่มีใครรู้นี่

เวลาไร้ผู้คนมาเยือน ข้าก็จะระลึกถึงกาลแห่งชาติต่างๆ ด้วยการนั่งฝันอย่างมีสติ จริงรึเปล่าไม่รู้ เพราะข้ารู้อยู่คนเดียว

มันระลึกของมันไปเองได้ พอนึกถึงเต่า มันก็รู้สึกถึงความเป็นเต่าที่ตัวเองเคยเป็น โน้นเลย ระลึกลงไปเท่าไหร่ ก็เจอว่าเป็นเต่าซ๊ำๆอยู่นั้นแหละ และโดนไฟคลอกทุกชาติ

แรกๆระลึกนี่ มันทนแทบไม่ได้ มันร้อนระอุ สัญชาติญานมันทำงานไปตามความฝัน เพียงแต่เป็นฝันที่มีสติ

พอมีสติ มันก็ร้อน ที่ร้อน เพราะจิตมันปรุงว่านี่อยู่ในกองไฟ สติมันระลึกได้อีกว่านี่กำลังโดนเผาไฟ ถอนจากฝันก็ถอนไม่ได้ ทิฏฐิมันไม่ถึง

มันก็ต้องร้อนอยู่อย่างทรมาน พอจิตคลาย มันถึงจะเกิดปัญญาว่า มันเป็นเพียงแค่ฝัน เป็นอาการปรุงแต่งทางจิตเท่านั้น

ตั้งมั่นใหม่ เดี๋ยวเดียวก็นั่งฝันอีก แต่การได้ย้อมด้วยปัญญาและการมีสติอันหนาแน่น พอระลึกถึงความเป็นเต่า ข้าก็โดนเผาอีก

จิตมันก็ปรุงให้ร้อนอย่างทุรนทุราย แต่ใจที่มีสติปัญญาครอง มันตั้งมั่น แม้จะร้อน แต่มันรู้ว่า นี่เป็นแค่เพียงอาการความฝัน

ความเร่าร้อนทั้งหลาย มันก็พอทุเลาลง และระลึกต่อไปได้ด้วยความตั้งมั่น

นี่เป็นเครื่องอยู่อย่างหนึ่ง เรียกได้ว่า เป็นวิหารธรรม
มันเห็นการย้อมแห่งใจดวงนี้ชัด เมื่อระลึก ลึกลงไปในความฝันนั้น

เมื่อระลึกลงไปอีกว่า เพราะเหตุใดหนอ ถึงได้มาเป็นเต่าที่โดนเผาอยู่เช่นนี้

มันก็จะระลึกลงไปได้ว่า เพราะเหตุแห่งการให้ร้าย บุพการี และพระอริยะเจ้าด้วยใจที่มีความเกลียดชัง ที่เกิดจากความไม่ชอบใจของตนเองเป็นหลักใหญ่

การคดโกงลูกค้าด้วยกลวิธี จนเป็นธรรมดาแห่งใจเป็นอุปนิสัย และอีกหลายปัจจัยที่เป็นวิบาก กลายมาเป็นไฟ ที่เผาร่างได้ ทุกครั้งที่เกิดมามีรูป

นี่..ความเลวร้ายที่ได้กระทำ มันกลายเป็นวิบากมาให้ผล

มันพอกเป็นสันดานข้ามภพข้ามขาติกันซะด้วย

ที่สำคัญ มันเห็นความเป็นสันดานเสียตามที่โลกเขาสมมุติกันซะมาก จากการนั่งฝันนั้น
มันก็เลยไม่อยากไปฝืน

การฝืนมากไป มันจะกลายเป็นโกหกตนเองและผู้อื่นไป เอากันแค่อยู่กับโลกได้
และไม่ต้องอึดอัดใจกับสันดานสร้างสมของตัวเอง

นี่.. อยู่อย่างไม่ต้องกลัวว่าใครจะไม่คบ คบกับความเป็นจริงที่เป็นสันดานเสียๆ ที่โลกเขาไม่นิยมดีกว่า จะได้ไม่ต้องหลอกลวงโลก ว่ากูนี่เป็นคนดีในสายตาใคร

พวกเราก็เช่นกัน หากแสดงออกอย่างมีสติ การปกปิดความจริงที่เรามีที่เราเป็น มันก็จะน้อยลง

ที่สุด มันก็มีที่ยืนกว้างพอ ที่จะยืนอยู่ตรงจุดที่เราพออยู่ได้ โดยที่เรา ไม่อึดอัดคับแคบ ต่อใจเรามากมายนัก

ให้เราเข้าใจเราเหอะ ว่าเราที่แท้ มันก็ช่างตอแหลสิ้นดีเหมือนกัน

เราควรจะไม่ชอบใจเราที่เราชอบตอแหลบ้าง

อย่างที่เจ้าของไม่ชอบให้ใครมาตอแหลให้เราไม่ชอบใจเหมือนกัน

อันธรรมนั้น ย่อมขยายออกมาจากความเข้าใจ

ความเข้าใจเกิดจากประสบการณ์

ประสบการณ์เกิดจากการปฏิบัติ

การปฏิบัติ เกิดจาก อิทธิบาทสี่

อิทธิบาทสี่ เกิดจากบารมี คือกำลังใจ

กำลังใจเกิดจาก การมีสัจจะ

สัจจะเกิดจาก การข่มใจ

การข่มใจเกิดจาก ความวิริยะ

วิริยะเกิดจาก ปัญญา

ปัญญาเกิดจาก การตรึกที่จะออกจากกามทั้งหลาย

การตรึกเกิดจาก การมีศีล

ศีลเกิดจาก ทาน

ทานเกิดจาก พรหมวิหารสี่

พรหมวิหารสี่เกิดจาก สติ

สติเกิดจาก การโยนิโส

โยนิโสเกิดจาก ศรัทธา

ศรัทธาเกิดจาก การได้รับฟังธรรมจากสัตบุรุษ

ธรรมทั้งหลาย เกิดจากใจและประสบการณ์ที่เรียกว่า สัตบุรุษ

พระพุทธองค์ เป็นสัตบุรุษของเราเป็นบุรุษแรก ที่เราทั้งหลาย ได้เดินตามทางแห่งการชี้แนะ..!!

ไม่มีธรรมใดที่จะสิ้นสงสัยไปได้ด้วยการคาดเดา ตรึกนึกคิด ถกเถียง อ่านตำรา จำมาก รู้มาก หรืออยู่กับความว่างโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ตราบใดที่ยังครองสังขาร ความสงสัยย่อมเกิดเป็นปัจจัยเป็นธรรมดาของมัน นี่เป็นธรรมดา พึงทำใจยอมรับมัน ว่าการสงสัยนี่เป็นธรรมดา เราก็จะพึงสิ้นความสงสัย

๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘