****** ฆ่าด้วยความหวังดีเป็นบาปไหม ******
หลายคำถามที่ถามมา ข้าจะขอตอบให้ตามภูมิธรรม การตอบนี้ไม่ได้ไปวินิจฉัยด้วยเหตุ ด้วยผลของตนเอง
เราว่าไปตามกระแสแห่งธรรมที่มันมี ผลแห่งวิบากอัน
เกิดจากการกระทำ ซึ่งมันอาจจะลึกซึ้งลงไปหน่อย แต่เราก็สามารถตามรู้ได้เช่นกัน
______
>> ลูกศิษย์ : พระอาจารย์เจ้าค่ะ ลูกฟ้าเลี้ยงมา 14 ปีกว่าเจ้าค่ะ ก่อนเขาจะไปหมอบอก
ว่าเค้าจะมีอาการทางสมองนะ รอให้เขาไปเอง
ฟ้าก็ถามอาการ พอเค้าเป็นแบบที่หมอบอก ฟ้าก็สงสาร
ไม่รู้จะช่วยไง ถามหมอๆบอกรอได้อย่างเดียว
ฉีดยาให้น้ำเกลือก็ทำไรไม่ได้ เขาไปอยู่ดีค่ะ เค้าทรมานค่ะ เดินไปเดินมาทั้งคืน แล้วล้ม แล้วกระตุก แล้วคราง ฟ้าก็บอกเค้าว่าหนูไปเถิดแม่ไม่รั้งหนู หนูจะได้ไม่ทรมาน
ฟ้าก็สวดมนต์ให้เค้าฟัง เค้าก็นิ่งไปเป็นพักๆจนเช้า ฟ้าเห็นเค้าไม่ค่อยมีแรงแล้ว ฟ้าเลยสวดมนต์ให้ เค้าฟัง แล้วบอกเค้าว่าหนูอยากไป แม่สวดมนต์ให้ฟังแล้ว
หนูไปเกิดภพภูมิใหม่นะลูก พอฟ้าสวดมนต์จบ ฟ้าดูเค้าอยู่ตลอดจับมือเค้าด้วย แล้วเค้าก็ไปค่ะ ฟ้าบาปไหมค่ะไม่พาเค้าไปหาหมอ
เพราะว่าฟ้าคุยกับหมอแล้วเรื่องอาการของเค้า ฟ้าอยู่ลพบุรี แต่ลูกฟ้าหา
หมอโรงพยาบาลเอกชนรักษา 24 ช.ม.
มีปัญหาโทรคุยได้ค่ะพระอาจารย์ ถ้าด่วนกลางคืนฟ้าเข้ากรุงเทพ
เลยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ ที่เมตตาฟ้า
>> พระอาจารย์ : ไร้เจตนาปลิดชีวิตทางกาย วาจา ใจ อันเกิดจากความรัก และความชัง ความเป็นบาปจะมาจากไหน
เราดูแลเขาอย่างดีที่สุดแล้วจนเขาจาก แม้จะเจ็บช้ำที่
เขาต้องมาทรมาน
เรา..เจ็บกว่าเขามากมายนัก อย่างน้อยเราก็พอรับรู้ความรู้สึกที่ดีต่อกันได้
เขาจากไปด้วยวิบากหมดเชื้อไปตามเหตุปัจจัยแห่งกาย ความเป็นผลร้ายระหว่างเขากับเราย่อมไม่มี ฟ้า…
ขอเป็นกำลังใจ
___
>> พระอาจารย์: เกี่ยวกับหลวงปู่พิมพ์อะไรนี่ ข้าไม่รู้จักหรอก เมื่อคืนแสงมันถามมาก็เลยอธิบายไปตามเหตุปัจจัยที่ถาม
แต่การที่คนทั้งหลายปรามาส ว่ากล่าวโดยเอาความคิด
ตนเองเข้าไปให้ความเห็น จะเป็นเภทภัยทางวาจา ที่ร้ายอย่างแรงไม่ควรทำ
หากเรื่องนี้เป็นการสร้างเรื่อง ตามที่หลายฝ่ายกล่าวหา ฝ่ายพระย่อมต้องรับผลวิบากในการสร้างเรื่องขึ้นมาไป
แต่หากฝ่ายพระทำไปด้วยเจตนาตั้งใจ แม้จะพ่ายแพ้ ผู้กล่าวหาและประณาม วิบากจะมาสนองผลให้ฉิบหาย
เพราะเป็นการปรามาสเจตนา อันเป็นการกระทำ เพื่อความหลุดพ้นอันเป็นเจตนาบริสุทธิ์ แม้จะดูว่าเป็นเรื่องโง่ๆของชาวโลกก็ตามเถอะ
ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะไปปรามาส พระที่กล้าจะแลกความจริงกับความตาย
______
<<ลูกศิษย์: กราบเรียนถามพระอาจารย์ เช่นนั้น ในกรณีที่เราป่วยหนักแต่ยังมีสติสัมปชัญญะ
แล้วเขียนหนังสือแสดงเจตนาต่อแพทย์ผู้รักษาว่าจะ
ไม่ทำการช่วยเหลือทางการแพทย์
เช่นนี้ไม่นับเป็นการฆ่าตัวตายใช่ไหมคะ (ไม่สั่งให้แพทย์ฉีดยาให้ตาย
แต่ให้ประคับประคองแล้วปล่อยให้ตายโดยไม่ขวางในเวทนา)
>> พระอาจารย์: ปราญชลี ไม่มีนามสกุล การแสดงเจตนารมณ์เช่นนี้ มันมีเหตุปัจจัยจากเจ้าของ ไม่ถือว่า เป็นการฆ่าตัวตาย และแพทย์ผู้ฉีดยาให้ผู้ป่วย
หากไม่ได้เป็นผู้แนะนำให้ญาติฉีดยาฆ่า แต่เกิดจากเจ้าตัว และเหล่าญาติเห็นว่าสมควร เพราะเหตุแห่งการสงสารและเวทนา และแพทย์ย่อมวินิจฉัยว่า คงไม่รอดแน่
อย่างนี้นายแพทย์และผู้กระทำไม่มีวิบากต่อผลที่กระทำ ถึงมีก็ส่งผลเล็กน้อย
แต่เจ้าของ และญาติซึ่งเป็นผู้สั่ง ต้องรับผลแห่งการตัดสินใจ ในการปาณาติบาตด้วยความไม่รู้กันทุกคน แม้จะหวังดี
____
>>ลูกศิษย์: เราสามารถฝึกจิตใจให้ไม่รับรู้ความเจ็บปวดทางร่างกายได้หรือไม่ ถ้าได้การกระทำแบบนี้เรียกว่าอะไรค่ะ/สาธุพระอาจารย์ค่ะ
<<พระอาจารย์: เราสามารถฝึกจิตไม่ให้รับรู้ความเจ็บปวดทางร่างกายได้ แต่ไม่แน่นอน
เพราะเรามีผัสสะที่มันทำหน้าที่ ทั้งภายในและภายนอก
แต่ความเจ็บปวด มันข่มได้ด้วยกำลังแห่งญาน คือ ความเคยชิน
เจ็บปวดมันรู้สึกอยู่ แต่มันทนได้ ที่ทำได้เป็นกำลังจิตที่เป็น สมาธิ
แต่หากถึงทิฏฐิ มันก็เจ็บปวดอีกเหมือนกัน มันไม่แน่นอน
เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติ ตราบใดที่ยังมีกายสังขาร ความเจ็บ มีเป็นธรรมดา
_____
>>ลูกศิษย์: เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณแม่ป่วยหนัก หมอก็ให้ตัดสินใจฉีดยาให้ท่าน
ไปสบายเหมือนกัน ตัดสินใจยากมาก
แต่ก็คิดได้ว่า ขอให้ท่านหมดลมไปเองดีกว่ายืดเวลาจนถึงที่สุด และท่านก็หมดลมในเวลาเที่ยงของวันถัดไปถือว่า..เป็นการตัดสินใจที่ถูกตามที่พระอาจารย์เทศนา
<<พระอาจารย์: หมอท่านย่อมตัดสินใจไปตามอาการที่วินิจฉัย แต่ในอาการที่แสดงออก หากเราไปตัดสินด้วยความปราถนาดี ด้วยความคิดเรา
มันยังมีวิบาก ทางจิต ทางกรรม และทางธรรมที่เป็นผลต่อจากการตัดสินใจ มันรออยู่
เรื่องพวกนี้ หมอไม่รู้ หมอรู้แค่จริยธรรม ทางฟิสิกส์และชีวะอยู่สองตัว
หมอไม่รู้ว่า มันยังมีเรื่องกรรม จิต และธรรม เป็นเหตุปัจจัยรองรับอีก
ที่สุดแล้วท่านก็ต้องจาก ในขณะที่จาก เราให้กำลังใจ กับผู้ป่วยเท่าที่กำลังเราจะทำได้
ดีที่สุด อย่าไปตัดรอนชีวิตที่เหลือเพียงแค่เล็กน้อยนั้น ให้เป็นกรรมอีกต่อไป
ขอต่ออีกหน่อยสำหรับคนที่ค้างคาใจ ที่ได้กระทำไปแล้ว….!!!
กรรมทั้งหลายเกิดจากเจตนา
เจตนาที่เป็นกุศล วิบากก็หมุนไปทางกุศล
เจตนาที่เป็นอกุศล วิบากก็หมุนไปทางอกุศล
ทั้งกุศลและอกุศล ต่างเป็นบาปด้วยกันทั้งคู่
บาปนี้คือการเสวยผล
การเสวยผล เป็นบาปที่ต้องว่ากันไปตามเหตุและปัจจัยที่เจ้าของสร้างเจตนา
ผู้ที่ได้กระทำไปแล้ว ด้วยเจตนาดี ก็พึงวางใจด้วยความยินดีเถิด ว่าเราเองนั้นกระทำไปด้วยความไม่รู้ และเป็นเจตนาดี
เอาปัจจุบันที่เรามีเป็นเครื่องอยู่อย่างผู้มีปัญญา พึงระลึกไว้อยู่เนืองๆว่า
อดีตผ่านไปแล้ว มันคืออากาศ เราอย่าไปทำตัวเป็นเจ้าของ ให้อากาศมันเป็นพิษมาทำร้ายใจเราเลย
อนาคตยังมาไม่ถึง มันก็คืออากาศ เราอย่าไปทำตัวเป็นเจ้าของ ให้อากาศมันเป็นพิษมาทำร้ายใจเราเลย
หากเราสิ้นชีพตอนนี้ อดีตและอนาคตทั้งหลาย มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า ที่ไร้เจ้าของเอื้อมมือออกไปไขว่คว้า
เราพึงอยู่กับความเป็นจริง และยอมรับผลที่จะเกิดกับผัสสะแห่งใจเรา
เรา…เลือกที่จะดับหรือก่อด้วยตัวเราเอง
เรา..อย่าให้วิบากผลแห่งกรรมทั้งหลาย มาทำลายและเลือกเส้นทางให้เรา
เรา..ต้องเผชิญกรรมเป็นธรรมดา
แต่เรา… เลือกที่จะก่อ หรือดับกรรมทั้งหลายนั้นได้ ด้วยลำพังของตัวเราเอง..!!
วันที่ 11 กันยายน 2557