ระลึกชาติที่เคยเป็น
ว่าจะคุยเรื่องสมาธิจิตซักหน่อย เพราะพวกเราคนหลายคนสมใจอยากจะทำ ความอยากนี่ มันเป็นเสี้ยนหนามของสมาธิน่ะ เสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำ มันเกิดสมาธิยาก มันเป็นความรำคาญใจ ฟุ้งซ่านไปทั่ว
ความรำคาญใจนี่ เป็นเสี้ยนหนามแห่งปฐมฌาน ปฐมฌานเข้าไม่ได้นี่
สมาธิไม่เกิด ถ้าพอประคองใจได้นี่ เรียก วิตก วิจารณ์ แต่วิตกวิจารณ์นี่ เป็นเสี้ยนหนามของ ปิติ
ปิตินี่ มันละเอียดกว่า วิตกวิจารณ์ แต่ปิตินี่ เป็นเสี้ยนหนามของ สุข
สุขนี่ ละเอียดกว่า ปิติ แต่สุขนี่ เป็นเสี้ยนหนามของความเป็นหนึ่งเดียวแห่ง อุเบกขา
อุเบกขานี่ ละเอียดกว่า สุข อุเบกขาที่มีสติลอยเด่นอยู่นี่ เป็นเสี้ยนหนามของปัญญา
นี่..มันอาศัยและขวางกันไปอย่างนี้ หากไปยึดติดอยู่ตรงหนึ่งตรงไหน มันก็จะเป็น อุปกิเลส
อุปกิเลสนี่ มันเป็นตัวขวางความดี เป็นตัวขวางมรรคผล มันเกิดจากใจดวงนี้ ที่เข้าไปจับจองผลที่มันเกิด
ทีนี้ ผู้ที่มีสมาธิจิตเข้าไปถึงอุเบกขาแห่งจิต เมื่อจิตมันถอยออกมาสู่อาการปกติ ที่รู้ตัวทั่วพร้อมแห่งอายตนะ คือรู้สัมผัสตามปกติแล้ว เมื่อเกิดการโยนิโส ว่าก่อนเป็นกายเรานี่ เราเคยเกิดมาเป็นอะไรบ้างหน้อ..!!
วิตกเช่นนี้ จะเกิดการประคองจิตเรียกว่า วิจารณ์ ปิติ สุข เอกคัตตารมณ์แห่งอุเบกขา สมบรูณ์ด้วยสติ มันก็จะเกิดขึ้นมาอีก เมื่อถอยหรือถอนจิตที่เป็นอุเบกขากลับมา สติจะเกิดภาวะระลึกได้ว่า เราเคยเกิดมาเป็นตัวอะไรบ้าง
บางคนก็ระลึกได้ทั้งภาพเสียง บางคนก็ได้แค่ภาพ บางคนก็ได้แค่เสียง บางคนก็ระบึกได้เท่าที่ตนต้องการจะระลึก บางคนก็ตื้น
นักสมาธิจิตไม่ว่าชาติไหน ศาสนาใด หากกำลังจิตเข้าถึงอุเบกขาฌาน ระลึกและทำได้ทั้งนั้น จะเป็นฤษี ฮินดู พราหมณ์ พุทธ คริสต์ อิสลาม ใครก็ได้
การระลึกนี่ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ตามกำลังแห่งวิสัยภูมิ ข้าเองนี่ พอได้อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าจะระลึกได้ตลอด
สมัยหนึ่งนั่งอดอาหารหลายวันหน่อยที่ถ้ำทางห้วยแม่ปลาสร้อย งดอาหารกินแต่ใบไม้นี่ สมาธิดี วันที่สามสมาธิรวมได้ดีมาก จิตวางตัวเป็นอุเบกขา ลอยเด่นด้วยสติ
เมื่อจิตคลายตัว มันก็เกิดความอัศจรรย์ใจในอาการที่เป็น ไม่ใช่ง่ายเลยที่จิตเราจะรวมตัวเป็นอุเบกขา ลอยเด่นอยู่ด้วยสติ ใจมันตั้งคำถามขึ้นมาว่า เราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างหนอ ถึงต้องมาบำเพ็ญอยู่อย่างนี้
การรวมตัวของจิตมันก็ดิ่งไปสู่อุเบกขาอีก เมื่อจิตถอนกลับมา มันก็เริ่มฝัน มันฝันทั้งๆที่ยังมีสติไม่ได้หลับ มันนั่งฝันของมัน มันระลึกขึ้นมาได้ว่า ข้าเองนี่เคยเกิดเป็นนกยูงมาเป็นพันๆชาติ
ถ้าระลึกถึงนกยูง จะว่าเป็นพันๆก็ไม่ได้ ยิ่งระลึกมันก็เห็นชัดกันเป็นแสนๆล้านๆชาติโน่นแหละ
เพราะติดใจและแกร๊กหล่อ ต่อตัวเมียเป็นสันดาน จึงเกิดเป็นนกยูงนาน เป็นจ่าฝูงหลายชาติ เป็นนกยูงอาศัยอยู่แถบ พาราณาสี ทางป่า อิสิมฤคทายวัน ในป่าแถบๆ ที่พระพุทธองค์ทรงโปรด ปัจจวัคคีย์ทั้งห้านั่นแหละ ข้าอยู่แถบนั้น
มาเกิดเป็นนกยูงอยู่แถบพม่า จีน นี่หลายชาติ โดนนกยูงแทงด้วยเดือยตายก็หลายชาติ นี่เพราะแย่งตัวเมีย
นี่..หน้าหม้อตั้งแต่เป็นนกยูงมาแล้วโน่น วันๆ ชอบเดินกรีดกราย โชว์ออฟ
เป็นกวางก็หลายชาติ เป็นหมูป่า เป็นนกกระจิบ นกกางเขน เยอะๆๆๆ นกกระจอกเทศนี่ ระลึกไม่ออก สงสัยไม่เคยเป็น กระต่ายนี่หลายชาติอยู่
เป็นกระทิงอยู่ทางตอนเหนือของพม่าก็เคย เป็นช้างนี่ก็มากโขอยู่ เร่ร่อนอยู่ทาง อินเดีย พม่า ไทย ลาว เขมร เป็นไก่ป่า ไก่ชน ไก่ย่าง ไก่ต้มด้วย เพราะโดนเขาจับมาแดก เป็นเหี้ย เป็นค่าง เป็นงูนี่ นาน เป็นแสนๆ ชาติเลย
สรุป เดรัจฉานทั้งนั้นเลยเท่าที่เห็น เพราะอธิฐานดูว่าเป็นสัตว์อะไรมาบ้าง
นี่ วัฏฏะ มันวนเวียนไม่รู้จบ ใครอยากเกิดก็เชิญเลย
ครั้งหนึ่งเป็นพ่อค้าชาวจีน แค่โกงเอาเปรียบลูกค้า ด้วยเล่ห์กลทางการค้า ไอ้ห่า..หลังจากกายแตก
ต้องไปเกิดเป็นห่านให้เขาเชือดกินซะหลายร้อยชาติ แต่ละชาติ อายุยังไม่ทันถึงปีดีเลยซักชาติ โดนเขาแดกตลอด ชาติสุดท้ายแก่ตาย จึงหลุดจากวิบากการเกิดเป็นห่าน
นี่..แค่กลโกงเอาเปรียบชาวบ้านเวลาค้าขาย เรียกว่าไม่ซื่อ เบียดเบียนทรัพย์สินเขามาโดยไม่ชอบธรรม กรรมที่ต้องเผชิญก็ต้องชดใช้ด้วยเลือดเนื้อที่เราต้องไปเกิดเป็นสัตว์
ไปเป็นสัตว์ร้องเสียงดังให้เขาเชือดคอแดก ชดใช้กันหลายร้อยชาติกันเลยทีเดียว
ก่อนชาติสุดท้าย เนื้อได้ไปเป็นอาหารพระ และได้รับการโมทนาบุญตอนท่านกิน ผลแห่งการโมทนา ทำให้ไปเกิดเป็นห่านอีกแค่ชาติเดียว และอยู่อย่างแก่ตาย
จึงพ้นสภาพจากการโดนฆ่าโดนกิน ไปเกิดเป็นวัว และกระทิงทางตอนเหนือของพม่าติดกะอินเดียปัจจุบันนี้นี่แหละ
นี่..เป็นสัตว์น่ะแสนง่าย แค่วางจิตวางใจย้อมมาทางหลงยึด วัตถุ อารมณ์ ตัวตน แค่นี้แหละ มีสิทธิสูงที่ได้ไปเป็นสัตว์ มีชีวิตที่อิสระจากกรอบอุปาทาน จากความเป็นมนุษย์
ใครเกิดตายก่อนช่วงนี้ ยังไงก็มาเกิดเป็นไก่เจี๊ยบข้าก็ได้ มาเกิดเป็นเหี้ยก็ได้ข้าชอบ ข้าจะเลี้ยงดูเอง วันนี้คุยมายาวเหยียดแล้ว ไว้เจอกันเมื่อชาติต้องการ
Let’s talk about the concentration/one-pointed of mind that many of us desire to have. However, the desire is the obstruction of the concentration. It always annoys you and makes it’s hard for you to be concentrated.
The annoyance is the obstruction of the first stage of meditation. If you can’t get into the first stage of meditation, the concentration won’t exist. If you can only carry on your mind, you’ll be in the discursive state of mind. However, the discursiveness is also the obstruction of delight.
The delight is finer than the discursiveness, but it’s also the obstruction of happiness.
The happiness is finer than the delight, but it’s also the obstruction of the neutral feeling of mind.
The neutral feeling of mind is finer than the happiness, but the neutral feeling with the awareness of mind is also the obstruction of wisdom.
It depends on or obstructs each other like this. If you’re obstructed at any stage of this concentration, it’ll be the impurity of mind.
The impurity of mind is the obstruction of the kindness and it obstructs you to reach the path leading to the cessation of suffering. This situation occurs because your mind hurries to occupy its result.
Once you can concentrate into the neutral feeling of mind and your mind is retreated into the normal state with the awareness of your six senses, your critical reflection will exist and make you desire to know what you used to be born to be in your former lives!!
With the discursive state of mind, you may only carry on your mind. This state of mind is called “criticism, delight, and happiness”.
The concentration of neutral feeling with complete awareness will exist again, and when you retreat your mind with the neutral feeling, you’ll recall your former lives. Some people can recall both figure and sound, some people can recall only the figure, and some people can recall only the sound, and the depth of their recall is not at the same stage.
Anyone who has one-pointed of mind, having any nationality or religion and the neutral feeling of mind will be able to recall his former lives, whether an ascetic, Hindu, Brahman, Buddhist, Christian, Islam, but the depth of their recall is not at the same stage. I, myself, can recall at a certain stage, however, I can’t recall at any time I want to do.
Once I had tried to fulfill my concentration at a cave around Mae Pla Suay Pond for many days. I did not have any food except leaves. My concentration was pretty good. On the third day my concentration was very good having the neutral feeling of mind with complete awareness.
Once my mind is retreated, I felt amazed at this state of my mind because it was not easy to get into it. I asked myself what I used to be born to be in my former lives, and why I had to try to fulfill my concentration like this. My mind got into the neutral feeling of mind again. Once my mind was retreated, I started to dream though I did not sleep.
I recalled that I had been born to be a peacock for several million lives because I was impressed with being a peacock, swaggering and inducing many female ones, and I also used to be a leader in a peacock herd in several lives.
I was a peacock in a forest in India around the place that the Buddha taught his first five followers. I had been born to be a peacock around Myanmar and China for many lives too, and I used to be killed by other peacocks in order to seize female ones in many lives.
I had behaved badly since I was a peacock, and I was fond of swaggering to impress female ones. I also had been born to be a deer, a wild boar, a tailorbird, a bulbul, a rabbit, a bull, an elephant, a jungle fowl, a fighting cock, a Varanus bengalesis, a langur, and a snake for several hundred thousand lives.
During that time I wandered around India, Myanmar, Thailand, Lao, and Cambodia. When I was a jungle fowl, I was sometimes killed to be food of human beings.
But I can’t recall whether I used to be an ostrich or not. This is the round of rebirth. If you want to get into it, it’s up to you.
Once I used to be a Chinese merchant. At that time I used to cheat my customers or apply a trick to them, As a result, I had been born to be a goose which was seized to be food of human beings for many hundred lives to compensate the sins I had done.
Before my last life of being a goose I had a chance to be a monk’s food, so I was shared the merit. As a result, I was born to be a goose again in only one life and could survive until my normal death. After that time, I was born to be a bull/a bison living around the northern part of Myanmar, next to India.
It’s very easy to be born to be an animal, only being misguided or behaving badly. After your death, you’ve much chance to be born to be an animal which is independent from attachment frame of human beings.
If anyone dies during this time and is born to be a chick or a Varanus bengalesis which I like, I’ll look after you myself, so you don’t have to be worried.
Today good morning
