รู้วาระจิต หลอกซะส่วนใหญ่

รู้วาระจิต หลอกซะส่วนใหญ่

1864
0
แบ่งปัน

ลูกศิษย์ : การรู้วาระจิตคืออะไรเหรอค่ะ แล้วทำไมเราต้องตกเป็นลูกค้า ของพ่อค้าคนกลางระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ พระอาจารย์เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมค่ะ

พระอาจารย์ : การรู้วาระจิตนี่ เป็นญานอย่างหนึ่ง ในเรื่องของจิต มันไม่ได้รู้ตลอดเวลาหรอก มันต้องเอาสมาธิสอดส่งลงไป

ผัสสะแล้วมาขึ้นที่เสียงก็มี รู้สึกได้ในมโนจิตก็มี แต่ผู้ที่มี การทรงตัวแห่งสมาธิ ต้องหนาแน่นมากๆ จิตที่โดนย้อมด้วยกำลังแห่งการเพ่ง คือ กสิณ

สมาธิที่เกิดจากกสิณ จะมีกำลังปัดความฟุ้งซ่านให้เกิดกำลังแห่งญานได้ ญานที่จะทำให้เกิดรู้วาระจิต คือ กสิณทุกกอง โดยเฉพาะ อาโลกกสิณ โอทาตกสิณ และอากาศกสิณ

การเพ่งลมหายใจ ก็เข้าถึงการรู้วาระจิต การรู้วาระจิตได้ ต้องทำจิตให้เข้าถึงความเป็นอากาศ ความว่าง และแสงสว่าง กรรมฐานสามกองนี้ เป็นเหตุให้เกิดทิพยจักขุญาน

การทำสมาธิ เมื่อสงบดีแล้ว นำสติที่หนาแน่นด้วยสมาธิ เพ่งจับสอดส่งลงไปที่เสียงรอบด้าน ความเป็นสมาธิที่โดนย้อมจนชำนาญ จะแยกแยะเสียงต่างๆ ออกมาด้วยความละเอียด

การเพ่งเสียงเป็นการฝึกสมาธิให้เกิดทิพย์จักขุญานทางโสต เราสามารถได้ยินเสียงไกลๆ ได้ เมื่อชำนาญมากขึ้น

สมัยข้าเป็นฆราวาส เมื่อทำสมาธิจนถึงระดับหนึ่ง เวลาสอดส่งจิตออกไปจับเสียงต่างๆ มันจะได้ยินแม้เสียงนาฬิกาข้อมือ ที่เข็มกระดิก

มันติ๊กๆๆๆๆๆๆ แม้อยู่ห่างไกลกันเป็นสิบเมตร มันขึ้นอยู่กับเจตนาที่ว่า จะฟังเสียงของนาฬิกาเรือนไหน

ที่จริงมันก็ได้ยินทุกเรือน เพียงแต่ว่าจะเจาะลงไปที่เรือนไหน นี่… เป็นพลังอำนาจแห่งจิต

หากอยู่ป่านี่จะง่าย เมื่อฝึกจนชำนาญแล้ว เสียงไกลๆ มันก็ได้ยิน แต่ต้องสอดส่งลงไป

การได้ยินเสียงและความคิดของผู้อื่นนี้ แม้ไม่ได้ฝึกสมาธิมาเลย บางคนมันก็ได้ยิน มันได้ยินของมันเอง ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนอะไรเลยก็มี

ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องฝึกสมาธิอะไรเหมือนกัน การสร้างสมกำลังมันมีมาไม่เหมือนกัน บางคนจิตมันสร้างสมของมันมาแต่อดีตชาติโน่น เหตุมันมีมาก่อน

สมัยเด็กๆ ข้าก็ได้ยินเสียงคนที่กล่าวถึงข้า หากข้าสอดส่งลงไปในเจตนาถึงใคร

แต่ต้องอาศัยฝนตก ตกกระทบสังกะสีเป็นอารมณ์ก่อน การเพ่งเสียงสายฝนกระทบหลังคา จนเกิดเสียงทางมโนจิตขึ้นมา

เมื่ออยากฟังเสียงใครความคิดใครที่กล่าวถึงเรา เราก็แค่นึกถึงเขา สิ่งที่เขากล่าวถึงเรา เราจะเข้าใจและรู้เรื่องหมด อยู่ที่ว่าเราจะสอดส่งลงไปในเรื่องใด

ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่กล้าว่าใครลับหลัง หากจะว่าอะไร ก็ว่ากันซึ่งๆ หน้าเลย เพราะข้าคิดว่า ทุกคนก็คงได้ยินเหมือนๆกันกับข้า ที่ข้าได้ยิน

แต่สิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่แน่นอน มันรู้มั้งไม่รู้มั้ง บังคับมันไม่ได้ อยากรู้เมื่อไหร่ มันก็ไม่ได้ยินอีก ความอยากมันเป็นตัวบดบังการเกิดทิพยจักขุญาน

สิ่งเหล่านี้นี่ มันมี และมันมีเป็นธรรมดาของมัน ไม่ได้วิเศษอะไร มันเป็นเรื่องของจิต ที่เกิดเป็นธรรมดา ตามเหตุปัจจัยแห่งการสร้างสมและย้อมปรุงแต่งจิต

อีกวิธี ที่จะรู้วาระจิตผู้อื่น ก็คงได้แค่นำมาทำนายทายทัก เพื่อหาลาภสักการะ

วิธีนี้ก็คือ ฝึกจิตจนเป็นอากาศ ทำตัวเป็นอากาศจนมีความชำนาญ จิตที่ฝึกจนเป็นอากาศ จะมองเห็นผีได้ สื่อสารกับผีได้

เป็นผีประเภท อากาศวิญญาน ยังไม่หมดอายุขัย หากมีสัญญาต่อกัน และได้สนิทชิดเชื้อกันกับผี อาศัยดวงจิตที่ไร้ร่างแห่งผี มากระซิบบอกกล่าวในสิ่งที่ต้องการได้

ถามผีทางมโนจิตได้ เพราะความเป็นพลังงาน มันรู้วาระจิตได้ เพราะจิตมันเป็นพลังงานเหมือนกัน มันสื่อถึงกันได้ ในรูปของพลังงาน

ผีมันอ่านจากเครื่องมือที่เก็บข้อมูล คือ ภวังค์จิตได้ เมื่อไม่มีรูปกาย มันจะง่ายในการรับรู้ข้อมูลแห่งวาระจิต

ข้านี่ เจอวิญญานมาหลากหลาย ผีเหล่านี้ ล้วนรู้ว่าใครคิดอะไรยังไง และบอกได้ ถ้าข้าถามไป

แต่ผีบางดวงจิต ที่ไม่รู้อะไรเลย มันก็มีเหมือนกัน คือมันตอบแบบกว้างๆเกินไป ไม่ชี้ชัด ซึ่งบางเรื่องเด็กๆมันก็ตอบได้ ไม่จำเป็นต้องถาม

แต่การย้อมจิต ด้วยการอาศัยถามผี มันจะทำให้ตกเป็นขี้ข้าของกิเลสง่าย

และที่สุดก็จะติดต่อทางจิตกับใครไม่ได้ นี่เป็นข้อเสียของการใช้ผี เพื่อรู้วาระจิตผู้อื่น เพราะถามบ่อยเข้า จิตเจ้าของจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นมาเอง แต่ยังเข้าใจว่าผีบอก

ข้าเองนี่ ได้ดีเพราะผีมาบอกว่า…

ข้าคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ผีเขารู้ไปทั่ว นี่..เพราะเหตุนี้ข้าจึงเฝ้าระวังใจเป็นหนักหนา

เพราะข้ายืนยันได้ด้วยใจตนเองว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมี พลังงานเหล่านี้มันมี

เมื่อมี ใจดวงนี้ จึงไม่กล้ากระทำการสิ่งใด ที่โลกสมมุติว่าชั่ว และไม่กระทำจนเป็นนิสัย จิตมันก็เลยแกร่งและเกิดสมาธิ สติ ปัญญาขึ้นมา

จนเข้าใจสิ้นความสงสัยแห่งธรรมลงไปได้ มันจึงยืนยันได้ด้วยตัวมันเอง ด้วยความเข้าใจในความจริง ที่มันเป็นธรรมดา และเห็นความเป็นธรรมดา ที่มันมีที่มันเป็น

ส่วนชนทั้งหลายที่จะรู้วาระจิตได้นี่ หากเกลือกกลั้วไปด้วยหมู่คน การรู้วาระจิตเกิดขึ้นยาก

คนที่รู้วาระจิตผู้อื่นได้ มักเป็นผู้ไม่ใส่ใจกับเรื่องราวของมนุษย์ผู้ใดอยู่แล้ว

มีแต่พวกตัณหามาก อยากรู้นั่นรู้นี่ของผู้อื่นนั่นแหละ ที่มันอยากรู้อยู่

ซึ่งจิตเช่นนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่จะไปรู้ เพียงแต่เรามันไม่รู้เอง ว่าบางคนมันก็หลอกลวงเอา

ตรงนี้จึงเกิดอาชีพพ่อค้าคนกลาง ระหว่างโลกวิญญานกับคนโง่จัด คนโง่ก็มักเป็นลูกค้าของพวกพ่อค้าพวกนี้

การรู้วาระจิตมันเป็นเรื่องพลอยได้จากการฝึกจิต ซึ่งบางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้ แม้แต่พระอรหันก็ใช่ว่าจะได้กันทุกท่าน

พระอรหันต์หมื่นท่าน อาจจะมีซักท่าน ที่รู้วาระจิต มันเป็นวิชาหนึ่ง ที่เรียกว่า ปรจิต แต่คำว่า ปรจิตนี่ มันต้องอาศัยผีนะ ไม่ใช่เป็นเจโตที่เกิดเป็น ทิพย์จักขุญาน

พุทธศาสนา ฝึกจิตขึ้นมาเพื่อให้เป็นกำลังของปัญญา… ไม่ได้ฝึกขึ้นมาเพื่อให้ได้รู้วาระจิตใคร

การฝึกเพื่อให้ได้วาระจิต เป็นการตั้งเป้าผิด ในหลักของปัญญาทางพุทธ

แต่เมื่อฝึกจิตแล้วเกิดรู้วาระจิต นี่.. เป็นแค่ผลพลอยได้ทางผ่านจิตก็แค่นั้นเอง และผู้มีปัญญา ย่อมรู้ชัดว่า…

มันไม่มั่นคงและบังคับบัญชาอะไรได้ หากใจมันขาดปัญญา การรู้วาระจิต มันจะขวางทางมรรคผลทันที เพราะมันเป็นตัณหาที่ย้อมจิต ให้เกิดอุปาทานสูง

ความเป็นตัวตนแห่งโลกธรรมแปดมันจะก่อเกิดขึ้นมาเป็นกำแพงล้อมใจเจ้าของให้มันหลงไหล อันเป็นธรรมชาติลักษณของจิตทั่วไป

นี่.. ใจที่ไม่ได้รับการอบรม ตรงตามความเป็นจริง ใจก็จะแสวงหาสิ่งเหนือธรรมดา เพื่ออวดโลกว่า กูเป็น กูได้

นี่เป็นอัตตาและเป็นโทษแห่งใจอันเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ผู้มีปัญญา ไม่ได้ฝึกเพื่อแสวงหาสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง

เมื่อมันรู้ขึ้นมา ก็ให้มันรู้ไป ตกกระแสความหอมหวลว่า กูรู้จิตใครๆ เมื่อไหร่

จิตนั้นก็ตกจากความดี ที่กำลังทะยานไปสู่การมีปัญญา ผู้แสวงหาความหลุดพ้น สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เครื่องขวางที่ทำความรำคาญใจ ให้แก่เจ้าของใจซะอีก

มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมา มันปรุงแต่งทางจิตกันไม่หยุด และก็มีแต่เรื่องเดิมๆ ที่อาศัยเหตุมาจาก ตัณหา มานะและทิฏฐิแห่งใจตน

คือ กิน นอน สืบพันธุ์ และระแวงภัย อันเป็นธรรมชาติธรรดาของใจ ที่ยังอยู่ในอาณาเขตแห่งความเป็นสัตว์อยู่

ก็ขอสาธุคุณ คืนนี้ สวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง