บุญญพลังได้รับมอบพื้นที่มาจาก นายบุญลือ เพ็ชรพงษ์
ซึ่งมาอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ 2519 ก่อนจะสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานจะเกิด
สถานที่นี้เป็นเขตแผนที่ป่าเสื่อมโทรมโซนซี ออก กฤษฏีกา2484
ไม่ใช่ป่าอนุรักษ์ ตามที่ออกข่าวโจมตี
อุทยานเข้ามาเมื่อปี 2524 และเขตอุทยาน มีกำหนดเขตชัดเจน
ว่าอยู่ห่างจากวัดป่าบุญญพลังราวแปดกิโล
ก่อนที่จะรับมอบพื้นที่มา เราได้ตรวจสอบและสอบถามไปยังหน่วยงานป่าไม้
เมื่อทราบชัดว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ขึ้นกับราชพัสดุหรือกรมธนารักษ์
จึงได้จัดตั้งเป็นที่พักปฏิบัติกิจทางศาสนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536
วัดป่าบุญญพลังอยู่ห่างจากพื้นที่อุทยานราวแปดกิโล
แต่เมื่อเกิดคดีการเมืองบ้านสามหลัง ที่เขื่อนศรีนครินทร์
อุทยานได้บิดเบือนองศาแผนที่ใหม่ เพื่อให้เขตอุทยานคลุมพื้นที่ของบ้านสามหลัง
ทำให้แนวเขตของอุทยาน ที่อยู่ตามแนวเขตสันปันน้ำ
ล้นเลยออกไปอยู่บนบก และกินพื้นที่อำเภอของศรีสวัสดิ์ทั้งอำเภอ
ชาวบ้านนอนอยู่ดีๆ เช้าขึ้นมากลายเป็นเขตอุทยานไปแล้ว ด้วยสันดานนักการเมืองทะเลาะกัน
พื้นที่วัดป่าบุญญพลังก็โดนไปด้วยกึ่งหนึ่ง
อำเภอศรีสวัสดิ์ทั้งอำเภออยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยาน
หัวหน้าอุทยานที่ผ่านมา บอกไม่มีปัญหา ชาวบ้านในพื้นที่อย่างเราอยู่ร่วมกันได้ มันเป็นเรื่องของการเมือง
แต่เมื่อผันเปลี่ยนหัวหน้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงยุคนี้
กลับตะบัดสัตว์กลับลำ กล่าวหาว่าเราบุกรุกอุทยาน
ทั้งๆที่เราเองก็เป็นพุทธอุทยานเข้าโครงการได้รับลงนามจากรองอธิบดีที่ดูแล เมื่อปี 2558
ที่นี่มีการสร้างพระมาตั้งแต่ปี 2551 ทำเรื่อยมาและมีหลักฐานลงนามว่า
มีฐานองค์พระขนาดใหญ่กำลังก่อสร้าง พร้อมรูปถ่าย
การเซ็นอนุญาตของเจ้าของโครงการด้วยคำสั่งรองอธิบดี ให้เป็นพุทธอุทยาน
ย่อมเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสิ่งก่อสร้างดั้งเดิมใน 11 สิ่ง ก่อนจะเข้าโครงการพุทธอุทยาน
และเซ็นรับทราบ โดยไม่มีหนังสือเอกสารอะไรตามมา เพื่อห้ามการก่อสร้าง เพราะถือว่าถูกต้องและดั้งเดิม
แต่มาบัดนี้เมื่อเกิดการโจมตีและกลั่นแกล้ง กลับนำเอาข้ออ้างว่าการก่อสร้างพระนี่ผิด
เอามูลเหตุมาจากข่าวในโลกโซเชียล ว่าที่นี่เป็นรีสอร์ท บุกรุกอุทยาน
เมื่อมาตรวจสอบไม่ได้เป็นไปตามข้อความของผู้โจมตีสงสัย
กลับไปตั้งข้อหา ไม้และสัตว์เลี้ยงดั้งเดิม ที่รับรู้อยู่แล้วในวันที่เข้ามาสำรวจ ว่าผิดกฏหมาย
เป็นคดีความกันไป และเป็นที่มาของการอ้างในการเซ็นคำสั่งเพิกถอน
ทั้งๆที่คดียังไม่ได้รับการตรวจสอบสิ้นสุด
หนังสือลงมติที่ประชุมของศูนย์ดำรงธรรม
อุทยานก็เซ็นคำสั่งเพิกถอนออกมา ฝ่าฝืนกฏหมายมาตรา 29 วรรค 2
ที่ผู้โดนกล่าวหายังบริสุทธิอยู่ ตราบเท่าที่ศาลยังไม่ตัดสินพิจารณา
แต่นี่อุทยานตัดสินไปก่อนแล้ว อ้างว่าตนเองไม่อยู่ในวิปปกครอง
เช่นนี้อุทยานจะรังแกใครก็ได้ใช่ไหม ไม่พอใจก็รุกไล่ พอใจก็ให้อยู่ไป
ที่เราขอความเป็นธรรมนี่ ไม่ใช่เรื่องเขตแดนที่เราโดนครอบงำ
แต่ร้องขอความเป็นธรรมในสิ่งที่อุทยานมารังแกโดยไม่มีเหตุผลที่ถูกต้อง
หากเราผิด เราก็ยอมรับผิดแต่โดยดี
แต่นี่รังแกกัน จะให้เราอยู่เฉยได้อย่างไร
โจมตีทุกทางเพื่อขับไล่ออกไป โดยไม่ฟังเหตุผล
เซ็นคำสั่งเพิกถอน ออกข่าวให้ร้ายว่ารุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์
หิ้วนักข่าวเข้าไปทำข่าวโดยไม่ถามความเป็นจริงจากเรา
ทำข่าวด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นนักข่าวหมาหิวโหยที่ขอเศษอาหารจากหัวหน้าอุทยาน
ที่ตรงนี้ไม่ใช่ป่าอนุรักษ์ มันเป็นที่อนุญาตอยู่อาศัยทำกินของชาวบ้านหนีน้ำท่วม
แต่ก่อนเขาปลูกข้าวปลูกพริกปลูกข้าวโพด
เราเอาต้นไม้มาลงปลูกจนเป็นผืนป่า
เราจะต่อสู้ผู้ปกครองที่ขาดหลักธรรมภิบาล
เพื่อความถูกต้องที่โดนโจมตีออกข่าวรังแกข้างเดียว
ขอพี่พ้องน้องเพื่อนเป็นกำลังใจ..