อภิญญากับการบรรลุธรรม ไม่เกี่ยวกัน

อภิญญากับการบรรลุธรรม ไม่เกี่ยวกัน

1004
0
แบ่งปัน

ตามภูมิความรู้ที่ทราบมา หากยกใจก้าวล้วงพ้นไปจากโลกีวิสัยไปเป็นอริยชนแล้ว

ฌาณสมาบัติ โลกีย์อภิญญา หากไม่ได้ก่อนเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ไม่มีสิทธิ์ได้อภิญญาอีก คงสภาพสุขวิปัสโกตลอดเข้าพระนิพาน

น้อมนิมนต์ พระอาจารย์ ขยายธรรมส่วนนี้ที่มืดให้สว่าง เป็นธรรมทานด้วยครับ สาธุๆ

พระอาจารย์ : เรื่องนี้คงเป็นภูมิคนปรุงแต่งนึกคิดไปเอง

เรื่องจิตที่เกิดอภิญญานี่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องปัญญาเข้าถึงธรรมแจ้งตลอดนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

การรู้แจ้งไม่ได้เกี่ยวกับพวกอภิญญาอะไร

ไม่ใช่การบรรลุด้วยสุขวิปัสโก แล้วภูมิจิตจะคงอยู่แช่เช่นนั้นตลอดไป

พระสารีบุตร เข้าถึงธรรมด้วยปัญญาญาน ด้วยธรรมที่ว่าถึงความถูกใจไม่ถูกใจ

พระโมคลานะ ก็เข้าถึงธรรมด้วยปัญญาญาน ด้วยธรรมที่ว่าถึงกายนี้เป็นเพียงแค่ธาตุทั้งสี่มารวมกัน

เรียกว่า เป็นสุขวิปัสโกทั้งคู่

พระมหากัสปะ ผู้ทรงคุณ ก็แจ้งธรรมด้วยสุขวิปัสโก

ส่วนอภิญญาทั้งหลายนี่ เกิดจากจิต ที่อยู่โดยวิหารธรรม คืออานาปาน

อภิญญาห้านี่ เป็นเรื่องของอำนาจจิต แต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน

จึงมีฤทธิ์ทาไม่เหมือนกัน

พระอานนท์นี่ ได้เจโตวิมุติ คือจิตมันรู้แจ้งระลึกได้ ไม่ใช่วิปัสนาจนรู้แจ้ง แม้ตลอดระยะเวลาทั้งคืน จะเดิน จะนั่ง หรือพิจารณาธรรมในหมวดใดข้อใด

ใจก็ยังไม่ลง ไม่รู้แจ้งแทงตลอดแห่งใจ เรื่องอย่างนี้ พวกเราคงเข้าใจยาก คงได้แต่นึกคิด และปรุงแต่งว่าเอาด้วยการเดาสุ่มกันไป

เจโตวิมุตินี้ จะเกิดขึ้นหลังจากปลดล็อกสัญญาเป็นเหตุ และไม่ใช่เราเป็นผู้ปลดล็อก

มันปลดล็อกของมันเอง อาศัยรอบแห่งการตั้งสัจจะ ปฏิบัติอย่างจริงจัง มุ่งมั่น ถ้าอธิบายตรงนี้ สำหรับคนที่ทำจริงๆ มันจะไม่เกิด เจโตวิมุติ

มันจะเป็นสัญญาพันธะที่ทำขึ้นมา จะเป็นอัตตาแห่งใจที่ทำเพื่อให้เกิด เจโต ซึ่งมันจะไม่มีวันเกิด ด้วยสัญญาแห่งอัตตาเป็นเหตุ ข้าจึงไม่ควรอธิบายในส่วนนี้

ส่วนปัญญาวิมุติ เป็นการตรึกตรองพิจารณาตามจนเกิดความรู้แจ้ง มันรู้แจ้งเมื่อได้รอบของมัน

บางคนที่ได้ปฏิภาณสูงๆ ก็จะรู้แจ้งโดยการตีอวิชา ตามร่องแห่งปริญัติ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม จนแตกไปตามหลักแห่งสุขวิปัสโก

บางท่านก็พิจารณาธรรมชาติเบื้องหน้า อย่างเช่น พยับแดด ใบไม้แห้งหล่น ความสกปรก ความเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ในสรรพสิ่งต่างๆ

แล้วใจมันเห็นแจ้งแทงตลอดสาย ในความเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง นี่ก็เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมได้ เรียกว่า บรรลุธรรมแบบ สุขวิปัสโก

ส่วนในตำราที่กล่าวว่า เมื่อรู้แจ้งแล้วเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้นี่ เป็นเรื่องเปลือกที่โม้ปรุงแต่งเข้าไปเพื่อให้มันดูขลังๆ

คนที่สำเร็จด้วยภูมิแห่งฉฬภิญโญ ล้วนเป็นเจโตวิมุติเกือบทั้งสิ้น

ส่วนประเภท สุขวิปัสโก เตวิชโช และฉฬภิญโญ หากได้ความรู้ยิ่งในทางทางธรรม ที่แยกแตกออกไปตามวิสัยภูมิสะสม

คือปฏิภาณ ย่อขยายธรรม จำแนกธรรม รู้ภาษาธรรมอย่างลึกซึ่ง อย่างนี้เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาน

สมัยก่อนมีพระผู้ได้ อภิญญาห้า สิ้นอาสวะหนึ่ง ปฏิสัมภิทาญานสี่

แต่เดี๋ยวนี้หายากแล้ว

อภิญญาต่างๆ มันเป็นเรื่องของจิต มันไม่แน่นอน

พระผู้ทรงคุณที่รู้แจ้งเรื่องจิตดีแล้ว แม้ไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ท่านก็ปล่อยเรื่อง อภิญญา

ผู้ได้อภิญญาย่อมประจักษ์ชัดแห่งใจเจ้าของว่า มันเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน

ไม่สามารถบังคับบัญชาให้ได้ดั่งใจเจ้าของได้ ท่านจึงวางเรื่อง อภิญญา มุ่งสู่วิปัสนาแห่งความหลุดพ้นฝ่ายเดียว

การตั้งมั่นมุ่งสู่ความหลุดพ้น หากจริตมาทางด้านอภิญญา เมล็ดพันธุ์แห่งอภิญญาย่อมเกิด นี่เป็นธรรมดา

อภิญญาเหล่านี้ ท่านไม่ได้ทำเพื่อให้มันเกิด เป็นแต่มันเกิดด้วยญานเก่าๆที่เจ้าของได้สะสมทำมา

ใจที่มันวางจากอภิญญาที่มันเกิดเป็นธรรมดา

อภิญญาต่างๆก็ยิ่งมีความหนาแน่น และแสดงตัวออกมามากน้อย ตามบารมีที่เจ้าของสร้างสมมา

เพียงแต่มีก็สักแต่ว่ามี ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อให้มันมี

อัตตาความเป็นเจ้าของเกิดขึ้นภายในเมื่อใหร่ ว่าเราได้อภิญญาแล้วหนอ

อภิญญาทั้งหลาย สูญสลายหายสิ้นหมด

และใจแห่งอัตตาเจ้าของอภิญญาเช่นนี้ มันก็เป็นใจเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะมันเป็นใจแห่งอัตตาตัวตนในความเป็นเจ้าของว่า..กูเป็น

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง “” เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 2 “” ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง