เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 6

เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 6

736
0
แบ่งปัน

หากย้อนไปในอดีต ที่เหล่าท่านทั้งหลาย ที่ตำราบอกว่าบรรลุพระโสดาบัน

จะเห็นว่า ไม่มีใคร ต้องเจริญทางมรรคแปด ต้องเจริญฌานสิบหก ต้องนั่งสมาธิ ต้องเดินจงกรม ต้องได้ฌานได้ญาน นั่นนี่โน่นเลยซักคน

จะเป็นโจร จะเป็นกระหรี่ จะเป็นชาวบ้าน จะเป็นชาวนา ชาวสวน พระราชา

หรือแม้แต่นักบวชนอกศาสนา ที่ไม่เคยเรียกตัวเองว่าพุทธ

เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงอันเป็นเหตุเป็นผล

ต่างก็เข้าใจและตามรู้ได้ ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี นี่เป็นกฏธรรมดาของโลก

ไม่ได้เกิดจากใครบันดาลหรือเป็นแค่ผลไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ความงมงายในสรรพสิ่ง ที่ยึด ที่สงสัย ที่งมงาย มันก็จางคลายลง

การยึดมั่นในวัตถุบุคลในสรรพสิ่งนี่ มันเป็น ..สักกายทิฏฐิ

การลังเลสงสัยในสิ่งต่างๆไม่คลี่คลายเด่นชัดนี่ มันเป็น ..วิจิกิจฉา

การงมงายโดยไร้ปัญญารู้เห็นตรงตามความเป็นจริงนี่ มันเป็น ..สีลพตปรามาส

คนเราพอเข้าใจเหตุเข้าใจผล มันก็รู้แจ้งขึ้น สว่างขึ้น เครื่องร้อยรัดรึงใจของสิ่งเหล่านี้ในเหตุ สามประการมันก็ ทุเลา เบาบาง จางคลายลง ตามกำลังและปัญญาที่เจ้าของมี

นี่..เป็นผู้เข้าถึงความเป็นจริง ที่เรียกว่าเป็นผู้ตัดสังโยชน์อันเป็นเครื่องร้อยรัดใจ ให้แนบแน่นกับภพภูมิเวียนว่าย ในสามประการ

ความเป็นพระโสดาบันในไทยเรา มันปรุงแต่งมากไป

มันเฟ้อลั่นออกไป เพราะความรู้มาก รู้จากการอ่าน จากตำรา แล้วมาทำตัวยิ่งใหญ่ยึดเอา

ยิ่งทางฝ่ายมหายานนี่ การบรรลุโสดาบันได้ซักคนนี่ ถือว่าเป็นเซียนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นซุปเปอร์ไซย่าไม่ใช่คนไปโน่นเลย

อย่างท่านหงเหย่น แค่เห็นโศลกกลอนของท่านเว่ยหล่าง แค่นี้ก็ตัดสินใจได้ว่า นี่..คือผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดแล้ว

นี่.. ทางศาสนาเซน อันเป็นนิกายหนึ่งของพุทธ เขาให้ความเห็นอย่างนี้

การมีดวงตาเห็นธรรมคือความเข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติเบื้องต้น ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันมีเหตุมีผล

ไม่ใช่จู่ๆ มันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะเกิดจากความเห็นของเรา

เหล่าท่านทั้งหลายที่มีมาในธรรมบท ที่บรรลุโสดาบัน

ต่างก็ไม่เคยได้รับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก่อน ไม่เคยรู้ว่า ต้องวางใจทำใจ ต้องนู่นนี่นั้น อย่างเดี๋ยวนี่ ที่คิดกันเอา มาก่อน

เป็นพวกนอกศาสนา ไม่ได้นับถือพุทธอะไรมาแต่ก่อนเก่า

ต่างก็มีศาสนา มีศาสดามีพระเจ้าของตนเองทั้งนั้น

เมื่อได้มารับฟังมองเห็นตรงตามความเป็นจริงในเหตุในผล

คนมันก็เข้าใจ ตรงตามความเป็นจริง คลายความยึดมั่น คลายความสงสัย คลายความงมงายลง

แค่นี้แหละ ท่านเรียกว่า ผู้ประเสริฐ เป็นชาวบ้านมีปัญญา มีสติพิจารณาตรงตามเหตุตามผล

นี่ ท่านเรียกว่า “..พระโสดาบัน..” ไอ้ห่า..แต่ความเป็นพระโสดาบันของไทยเรามันยากไป

ยิ่งรู้มาก อ่านมาก ฟังมาก ยิ่งพูดก็ยิ่งงง ภาษาก็มีแต่หัวข้อ ฟังแล้วไม่กระดิกหู

หากย้อนไปในอดีตกาลที่ท่านทั้งหลาย ได้บรรลุพระโสดาบัน ท่านไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย

นางวิสาขา เป็นเด็กน้อยๆ อายุแค่ 7 ขวบ ทำไมจึงเป็นพระโสดาบันไปได้

เราจะเชื่ออย่างไร้สมองเพราะเขาว่ามา โดยไม่รู้ไม่วินิจฉัยเหตุอะไร้ลยมันก็โง่ตาย

อย่างน้อยก็น่าอายเด็กมันนั่นแหละวะ

ที่เราโตเป็นควาย เรียนมาซะมากมาย แต่บรรลุพระโสดาบันไม่ได้ นี่..อายเด็กน้อยมันจริงๆ

สมัยก่อน นิกายและศาสนามันเยอะ ต่างก็แสดงตัวเป็นเจ้าลัทธิ เจ้าสำนัก

ที่คนนับถือมากหน่อย ก็เป็นจอมศาสดาไปเลย บางเมืองมีพระพุทธเจ้า หลายองค์หลายลัทธิ ต่างตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้ากันทั้งนั้น

ศาสนาเหล่านี้ อาศัยความงมงายด้อยความรู้ ของชาวบ้านเป็นเหตุในการหล่อเลี้ยงตนและกลุ่ม

เอาผี เอาเทพ เอาพระเจ้า เอาภูเขา เอาแม่น้ำ เอาต้นไม้ เอานู่นนั้นนี่ มาเป็นเครื่องเคารพ

เอาสัตว์สองหัว เอารกสัตว์ เอาสัตว์พิการ เอาสัตว์แปลกๆ มาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

เอาศพตายแห้ง ศพครูบาอาจารย์ ของแปลกของประหลาด ร่างทรง นั่นนู่นี่

เอามาหลอกล่อผู้คนที่งมงายให้หลงมาในกับดัก เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

สร้างรูปแบบกลไกทางความเชื่อ ยึดนั่นถือนี่ จะได้นั่นจะได้นี่ ในอากาศอนาคตข้างหน้า ที่ยังมองไม่เห็น

ต่างเอาสวรรค์มาล่อให้ทำบุญ เอานรกมาขู่ให้กลัวหากไม่ทำตาม ชีวิตต้องประสพแต่ความชิ๊บหาย

สมัยก่อน ชาวบ้านไปยันพระราชา ต่างก็หลงงมงายกับสิ่งเหล่านี้

ถึงปัจจุบันทุกวันนี้ มันก็เป็นเช่นนี้ อยู่เหมือนกัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย

พุทธศาสนานี่ ชี้ให้เห็นความจริงที่เป็นเหตุและผลอีกด้าน ที่มนุษย์ผู้งมงายคิดไม่ถึง

ธรรมแห่งพุทธศาสนา ไม่ได้เป็นธรรมที่ค้นคิดขึ้นมาใหม่

พระพุทธองค์เจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ก็จากธรรมทั้งหลายที่มันมีอยู่เป็นธรรมดาเช่นนั้นแหละ

เพียงแต่เป็นธรรมที่มันยังคว่ำอยู่ สำหรับผู้คนทั้งหลาย

เมื่อทรงตรัสรู้ พระพุทธองค์ท่านก็เปิดธรรมทั้งหลายที่คว่ำปกปิดความเป็นจริงทั้งหลายนั่น ให้มันหงายขึ้นมา

ให้ผู้คนได้ประจักษ์แจ้ง ได้เห็นความเป็นจริง ที่ซ่อนอยู่ในอีกด้าน ที่มนุษย์ทั้งหลาย ต่างมองไม่เห็น

พวกเรานี่ ไปแปลเขามา แปลแล้วก็เข้าใจตามภาษาของภูมิคนแปล

นี่..แปลและยึดเอาสืบๆ กันมา จนกลายเป็นว่า ภาษาที่แปลมา นี่..คือความหมายที่ถูกต้อง

ผิดไปจากตำราที่แปลมา เป็นพวกนอกศาสนา เพราะเขาบอกให้เทียบเคียงกับตำรา

นี่..มันไร้ปัญญาวินิจฉัยธรรม ใครว่าอะไร ตำราเขียนว่าไง กูเชื่อหมด

นี่..มันงมงายแล้ว ความงมงายตามตำรา ไม่รู้จักวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญาที่เอามาจากตำรา

เกิดอีกล้านชาติ มันก็โง่ตามเป็นเงาไปอีกล้านชาติเช่นกัน

เพราะมันคิดไม่เป็น มันยึดเอาตำรามาเป็นตัวตนทั้งแท่ง

นี่แหละ เป็นพวกอ่อนแอทางปัญญา ไม่รู้ตรงตามความเป็นจริงว่า

สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง “” เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 5 ” ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง