เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 2

เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 2

691
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณยามเย็น

คำว่า..พระโสดาบันนี้ เราคนไทยน่าจะให้ความหมายกันไม่ถูก นี่ในทัศนะของพระป่าๆ อย่างข้า

พวกเรามันบ้าตำราที่แปลๆ กันมากันมากไป

แปลยาก อ่านยาก ฟังยาก รู้ยาก เลยเข้าใจกันไปตามภาษาที่ปรุงแต่งเอา

ที่สำคัญ ภาษาไทยเรามันเป็นภาษาโดด บาลีให้ความหมายนัยยะหนึ่ง คนแปลดันแปลให้ความหมายอีกนัยยะหนึ่ง

แถมบาลีก็แปลมาจากภาษาขอมโบราณ และภาษาขอมโบราณก็แปลต่อๆ สืบๆ กันมาอีกที

การพอกพูนและความเห็น มันจึงหนาเป็นเปลือกขึ้นมา

พุทธชนรุ่นหลังแดกสัจธรรมที่หนาพร้อมเปลือก

แทะเข้ามั่งแทะไม่เข้ามั่ง ตามกำลังแห่งฟันน้ำนม

ตัวโคร่งหน่อย ก็ขบกัดมันทั้งเปลือก ระบมเหงือกเลือดสาด ยิ้มบอกว่านี่…ใช่

นี่..ของแท้ พระพุทธพูด ชิมดูแล้ว ฟันหักไปแถบ ชวนเพื่อนแดกตามมัน

นางวิสาขา อายุแค่ 7 ขวบ เธอจะไปรู้เรื่อง ญานเรื่องสมาธิเรื่องวิปัสนาญานอะไร

แต่ทำไมตำราจึงบอกว่า เธอบรรลุพระโสดาบัน

และชาวเมือง ชาวบ้านนับร้อยนับพัน ที่ไม่เคยรู้เรื่องธรรมอะไรเลย

เมื่อฟังธรรมไม่กี่ประโยค ทำไมถึงได้บรรลุโสดาบัน บรรลุสกิทาคามี บรรลุอนาคามีกันง่ายจัง

เรามันพุทธรุ่นหลัง มันโง่นักรึไง จึงฟังธรรมกันแล้วบรรลุไม่ได้

ในเมื่อทุกคนก็คนเช่นกัน ไม่ได้แตกต่างกันตรงไหน

ตรงนี้แหละ ไม่มีใครมาขบคิดกัน

พวกเรามันงมงายกันเกินเหตุ คงนึกว่าการบรรลุธรรม คือการแปลงกายไปเป็นซุปเปอร์ไซย่ามั้ง

หนุกจัง ศาสนานี้ เป็นศาสนาแห่งการแปลงกาย

แปลงกายจากมนุษย์ธรรมดา ไปเป็นมนุษย์พระโสดาบัน

นี่..เพราะการตีความและแปลตามภูมิปัญญา ที่ตรึกและนึกคิดเอา

คำว่าพระโสดาบันนี่ ท่านเรียกนามของมนุษย์ขั้นศีล

สำคัญคือ เราเข้าใจคำว่าศีลไหม…??

คำว่า “ศีล” นี่ เป็นความปกติของจิตใจ ในที่นี้หมายถึงจิตใจที่มีสติปัญญา รู้เห็นตรงตามความเป็นจริง

ศีลแห่งพระพุทธองค์เจ้าที่ชี้แนะนี่ ไม่ใช่เป็นศีลแห่งความงมงายหรือเชื่อเอาเองว่างั้นงี้

ศีลแห่งความงมงายนี่ เป็นข้อศีลของพวกนอกศาสนาที่เขาตั้งขึ้นมาด้วยความเชื่อ

พวกนอกศาสนาเชื่อว่า การฆ่าการเบียดเบียน จะทำให้เราต้องลงนรก

เขาก็เลยไม่ฆ่า

เขาเชื่อว่า การขโมย การโกหก การเป็นชู้ จะทำให้ตกนรก

เขาก็เลยไม่กล้าทำ ไม่กล้าเพราะความกลัวว่าเมื่อกายแตก เขาจะต้องลงนรก หากเขากระทำลงไป

นี่..ความเชื่อเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นแนวทางของความเป็นพุทธ

ความเชื่อเช่นนี้ เป็นเปลือกยังไม่เข้าแม้กระพี้ ของความเป็นพุทธ

และพวกเรายุคนี้ ต่างก็มีความเชื่อกันเช่นนี้เหมือนๆ กัน

นี่..ไม่ได้แตกต่างจากความคิดของศาสนาอื่นๆ เลย

ศีลที่ไม่ทำให้ใจดวงนี้ลงไปสู่นรก ไม่ใช่ความเชื่อว่าไม่ทำการผิดข้อศีลแล้วจะไม่ลงนรก

ศีลของความเป็นพุทธ เป็นศีลที่มันยืนยันได้ด้วยใจตนเอง โดยไม่ต้องหวั่นเกรง ว่าต้องรักษาหรือไม่รักษา แล้วจะลงนรกหรือไม่ลงนรก

ศีลที่มันยืนยันได้ด้วยใจตนเอง เกิดญานทัศนะรู้แจ้งตรงตามความเป็นจริงด้วยปัญญา

มีดวงตาเห็นธรรม คือเห็นความจริงที่มันเป็น

เป็นความจริงเบื้องต้นของมวลมนุษย์ชาติ

เป็นความเห็นจริงด้วยปัญญาที่แย้งไม่ได้

นี่…เป็นสัจธรรมแห่งธรรมของมนุษย์ขั้นศีลที่เรียกกันว่า

“” พระโสดาบัน “”

พระโสดาบันนี่ เป็นมนุษย์ขั้นศีล เป็นชาวบ้านชั้นดีที่มีใจเป็นศีล

เรียกว่า เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมเบื้องต้น

หากจะขยายความให้เราเข้าใจง่ายๆ ก็คือว่า

เป็นผู้มีเหตุมีผล รู้จักเหตุรู้จักผล เข้าใจแล้วตรงตามความเป็นจริงว่า

สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีเหตุ ผลทั้งหลายย่อมมีเหตุ

ท่านจึงไม่ไหลไปตามกระแสแห่งผลที่ผัสสะซักเท่าไหร่นัก

เรียกว่า เป็นผู้มีสติ ศรัทธากับปัญญา มีความเสมอเจือจางกัน

ไม่โต่งไหลออกไปข้างหนึ่งในฟากของศรัทธา และปัญญาด้วยความเห็นตน

การเป็นพระโสดาบัน ไม่เกี่ยวกับการนั่ง สมาธิ ไม่เกี่ยวกับการเดินจงกรม

ไม่เกี่ยวกับต้องได้ญานนั่นญานนี่

พวกเหี้ยๆ นิสัยหยาบๆ ทรามๆ ต่างก็เป็นพระโสดาบันกันได้เช่นกัน

สมัยโบราณ จะเป็นกระหรี่จะเป็นโจร ต่างก็บรรลุโสดาบัน ไม่เห็นว่าจะต้องทำอะไรนู่นนี่นั่นตามตำราว่าเลยนี่หว่า

สำคัญอยู่ที่ ความเห็นตรงแล้วประคองสติอารมณ์นั้น ที่เห็นตรง จนเป็นปกติวิสัย

ซึ่งการเห็นตรงของแต่ละคนก็ย่อมไม่เหมือนกัน และวิถีก็แตกต่างกัน

แต่สาระสำคัญ ท่านเหล่านี้ต่างมีสติ ละอายชั่วกลัวบาปด้วยกันทั้งสิ้น

แล้วข้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง

วันนี้ขี้เกียจจิ้มแล้ว ขอให้มีวามสุขความเจริญ

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง “” เส้นทางพระโสดาบัน “” ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง