โทสะจริต

โทสะจริต

1448
0
แบ่งปัน

ถุย…!! ปฏิบัติเองเห็นเอง

พวกกูรู้แล้วและรู้มากนี่ อย่าไปยุ่งกับมัน ไม่เข้าใจเรื่องสมาธิ แต่เสือกพูดโม้ออกมา

รู้ธรรมแบบอุปาทานทั้งแท่ง อ่านแต่ตำรา ผลแสดงออกมามันก็ชัดเจน

แต่เสือกบอกว่าปฏิบัติเองเห็นเอง โดยไม่ต้องจำคนอื่นหรือตำรามาเทียบ

ไอ้ขี้โม้

นี่เคยได้ยินมหาท่านเล่าให้ฟังถึงพวกขี้โม้คล้ายๆ อย่างนี้ ท่านบอกว่าแถวบ้านท่าน เรียกไอ้ขี้โม้เย๊ดม้าน่ะ

วันนี้ขอชมไอ้ขี้โม้มันหน่อย พอดีอากาศร้อน

ข้าแกล้งเขียนลงไปเล่นๆ ดูใจมันหรอก คำว่า ไอ้ขี้โม้เย๊ดม้า ท่านมหาเขาเคยบอกมา

เห็นมันบอกว่า ปฏิบัตเองรู้เองโดนไม่จำใครไม่อ่านตำรา แต่ภาษาเขียน ไอ้เย๊ดเข้..!! ตำราทั้งดุ้น เลยขากกก ถุย.!! ชีวิตซักหน่อย

คำว่าโทสะนี่ มันคงเข้าใจว่าความโกรธ นี่ เราเอาความหมายภาษาไทยของเราเข้าไปเป็นความหมายว่า เป็นอารมณ์โกรธ

โทสะนี่ ในความหมายแห่งธรรมที่ผู้แปลได้แปลออกมา ไม่ใช่อารมณ์โกรธน่ะ เจ้าพวกบ้าตำรา

ไอ้เหี้ย..!! เอาความหมายภาษาที่ตนเข้าใจ ไปตีภาษาธรรมแล้วมาอวดว่าปฏิบัติเอาเอง เห็นเอง รู้เอง

แถมขี้โม้ชิ๊บหาย ตีความหมายแห่งพุทธวจนะไม่ถูกแล้วมากล่าวตู่ธรรมเอา

ว่าพระพุทธองค์ทรงตรัส ไอ้พวกชิ๊บหาย..ยึดความหมายกันด้วยเหตุแห่งตัวตน

….คำว่าโทสะ หรือ พวกโทสะจริตนี่ ความหมายไม่ใช่ความโกรธ ฉุนเฉียว ดุร้าย โวยวาย เจ้าอารมณ์อะไรอย่างนั้น

โทสะนี่มันหมายถึง อาการแห่งจิตที่เจ้าของไหลลงไปในกระแส ตามอาการแห่งจริต

คนสงบเรียบร้อย พอใจเท่าที่มี ไม่มากเรื่อง ยอมรับเท่าที่ผลมันแสดงตามกำลัง นี่ พวกโทสะจริต

เป็นพวกที่ละเอียด แต่ไม่ได้ดั่งใจก็ไม่เป็นไร ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เท่าที่เหตุปัจจัยมันอำนวย นี่ โทสะจริต

ยอมรับและไม่ยอมรับอะไรได้ง่าย ไม่มากความ นี่ โทสะจริต

เป็นพวกหนักแน่น มั่นคง ผิดถูกว่าไปตามผลที่ปรากฏ ทั้งใช่และไม่ใช่

จบๆไป เท่าที่ตนเข้าใจ

พวกโทสะจริตนี่ มันกล้าพูดกล้าทำ ผิดถูกนี่ไม่เป็นไร อภัยกันได้ เข้าใจอะไรได้ง่ายไม่เรื่องมาก

ดูเหมือนเป็นคนยอม อ่อนไหวง่าย ขาดการตรึกตรองที่ละเอียดลึกลงไป แม้ยังไม่ชัดเจนก็ยอมได้ อภัยง่าย มีเมตตา กรุณา มุทิตาจิตต่อทุกคน และอุเบกขากับข้าศึกทั้งหลาย อย่างไร้เหตุผล

รักสัตว์ ชอบธรรมชาติ ความสันโดษ แค่ไหนแค่นั้นไม่ค่อยเรื่องมาก นี่เป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมดาของพวก โทสะจริต

มิตรที่เข้ากันได้ คือพวก พุทธจริต คือพวกมีเหตุมีผลมีปัญญาตรึกตรองที่ละเอียดกว่า เข้ากันได้ดีกับพวกโทสะจริต

กรรมฐานที่ประคองใจ และหล่อเลี้ยงใจให้สงบเย็นลงได้ง่าย คือ พรหมวิหารสี่ และความสงบแห่งการเพ่งสี

สีที่ใช้ได้ดี คือ เหลือง เขียว แดง ขาว

ทำไมต้องเพ่งสีเหล่านี้ นี่ก็ต้องขยายออกไปอีก

ส่วนพรหมวิหารนี่ เป็นเครื่องอยู่ของทุกจริตอยู่แล้ว

เพียงแต่มันเป็นธรรมชาติของพวกโทสะจริต ที่มีอยู่ในจริตสันดานของเขาเป็นปกติ

ไม่ใช่พอเห็นคำว่าโทสะ ไปหมายถึงพวกขี้โกรธ พวกหยาบ พวกวู่วาม เกเรอะไรอย่างนั้น

พรหมวิหารสี่นี่ เป็นจริตธรรมชาติของเขา เมื่อนำมาประคองใจ จะทำให้เขานั้น เกิดปัญญาหล่อเลี้ยงใจ เป็นหนทางให้ก้าวเข้าสู่มรรคผลได้

พวกรู้มากนี่ มักเอาความหมายแห่งคำมาปรุงมาเข้าใจด้วยตัวตนตามภาษาที่เข้าใจ

ลอกเขามา แปลความเขามาทั้งนั้น แต่อวดภูมิว่า ปฏิบัติเอง รู้เองเห็นเอง

เรื่องคำบริกรรม มันเป็นเครื่องมือทำให้ใจมันเกิดความสงบ

เป็นกุสโลบายอย่างง่าย ให้ใจมันมีที่ตั้งไม่สาดส่ายไปไหนได้ง่าย

มันเป็นผลดีต่อผู้ฝึกสมาธิอยู่แล้ว แต่พอคนแปลไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้ากล่าวคำบริกรรม

ไอ้คนอ่านมันก็เลยโต่งเอา ว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ตรัส จึงไม่เอา รับไม่ได้

ไอ้เหี้ยยย.. ช่างไม่เข้าใจว่าอะไรช่วยให้ใจสงบได้ง่าย อะไรช่วยให้ใจมันมีที่ตั้งมีที่เกาะให้เกิดความสงบ มันไม่รู้เรื่องเอาซะเลย

วิธีการต่างๆ มันเป็นแค่เครื่องช่วย จะหุงข้าวแดกซักหน่อย หากไม่มีหม้อตราพระพุทธเจ้ากำกับ หม้อแบบอื่นมันหุงข้าวแดกไม่ได้รึไง

จะเป็นหม้อดิน หม้อเหล็ก หม้ออะไร หากหุงข้าวให้สุกได้ ท่านเอากันแค่นั้น ท่านเอาแค่ได้แดกข้าวสุกอิ่ม ไม่ได้เอายี่ห้อหม้อ

บางคนไม่ต้องบริกรรมมันก็สงบ แต่มันหายากไม่สาธารณะทุกคนไป

ท่านจึงบอกวิธีง่ายๆไว้ ตามจริตคน หากทำใจสงบไม่ได้ ก็ให้ใช้วิธีอย่างนั้นอย่างนี้

นี่..การเจริญสมาธิ มันมีหลากวิธี แต่ทุกวิธี ต่างดำเนินไปเพื่อสู่ความสงบใจทั้งสิ้น

ท่านเล็งไปสู่ความสงบแห่งใจ

ท่านไม่ได้ยึดมั่นกับวิธีการ

พวกจิตโต่ง มันบ้าวิธีการ อะไรที่ไม่มีในตำรา กูไม่เอา เพราะมันไม่ใช่พระพุทธเจ้าพูด

นี่..ไอ้พวกบ้าคลั่งคำแห่งพระพุทธเจ้าที่เกิดจากภูมิปัญญา ของคนแปล

เอาภูมิปัญญาของคนแปล มาเป็นคำว่านี่เป็นคำที่พระพุทธเจ้าพูด

โง่หลายเจ้าพวกนี้ ที่พากันบ้าธรรมด้วยความยึดมั่นเป็นอุปาทานอย่างไม่ลืมหูลืมตา

พวกนี้มักจำคำจากตำรามาอ้างอิง เพื่อให้ใครเห็นว่าตนเป็นผู้รู้ธรรม

บางคนเอามาชี้สงฆ์ สอนสงฆ์ และเพ่งโทษสงฆ์ เอาตำราที่ตนจำเอาไปฟาดฟันคนอื่นว่าอย่างนั้นผิด อย่างนั้นไม่ถูก

แต่ภูมิจิตภูมิใจแห่งตนนี่ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย

ถูกใจก็ชอบใจไปซะหมด ไม่ถูกใจก็ไม่ชอบใจไปซะหมด

เอาตำรามาชูงวง มาอวดตัวทำตัวเป็นนักอ่าน แต่สันดานยังเหี้ยเหมือนเดิม

ทำเป็นตำรวจคอยตรวจสอบวินัยเหล่าสงฆ์ นั่นไม่ได้นี่ไม่ใช่ แต่ตัวเจ้าของยังนอนเย๊ดเมียอยู่

ยังชอบเสพกามอยู่ ชอบนินทาอยู่ ชอบให้ร้ายผู้อื่นอยู่ แต่เวลาโชว์ ดูสะอาดวางภูมิยอดคนดีเหลือทน

ข้านี่ ทั้งคำพูดภาษาท่าทางมันเลวอยู่แล้ว เมื่อเจอพวกเลวๆอวดกล้าม มันก็ต้องเข้ามาจีบมาหามาทักกันหน่อย

เผื่อพอจะสำเหนียกใจกันได้บ้าง ว่าไอ้ที่อวดๆว่าดีๆทั้งหลายนั้น มันก็เลวพอๆกับข้าที่มันเลวอยู่แล้วเป็นปกติ

ข้านี่ แสนหมั่นใส้เจ้าพวกขี้โม้มันน่ะ ไม่มีอะไร พักนี้ยุ่งแต่งานไม่ค่อยได้ฟัดกับพวกเหี้ยด้วยกัน แหม…มันคันไม้คันมือ

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง” จริตแห่งคน ต้องใช้กรรมฐานให้ถูกจริต ” ณ วันที่ 25 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง