ใจที่เป็นธรรมย่อมมองเห็นธรรมเป็นธรรมดา

ใจที่เป็นธรรมย่อมมองเห็นธรรมเป็นธรรมดา

817
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณยามเช้า ขอให้พบแต่ความสุขความเจริญร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้นไป

ธรรมบางบทนั้น ได้สาธยายพร้อมเหตุพร้อมผลเอาไว้ ต่อเหล่ากุลบุตรที่ได้มาพบเจอ

การได้ฟังสดๆ มันจะมีเหตุปัจจัยอื่นเยอะแยะ ในการชี้ให้เห็นช่องทางธรรม

การนำมาลงชี้ในบทความนี้ เป็นส่วนผิวเปลือกเล็กน้อย

เราฟังกันพอรู้ทางอย่างผู้พูดคุยกันไม่ใช่ตำรา

ธรรมนั้นมันไม่อาศัยการจำการคัดลอก

ธรรมนั้นอาศัยปัจจุบันเดี๋ยวนั้นเกิด

เกิดแล้วก็ดับไป

ที่ไม่ดับเป็นใจที่พอมีกากแห่งธรรมที่จำที่รู้มา พอเป็นแนวทางให้สาธยายและขยายความต่อไปตามเหตุและปัจจัย

“ธรรมะ” คือความเข้าใจความเป็นธรรมดาที่มาผัสสะ

ส่วนการอธิบายธรรมะที่มาผัสสะ เป็นเรื่องของความเข้าใจที่เกิดปัญญาในความเป็นธรรมดา

หากเรายังวนอยู่กับบทท่องจำ ธรรมนั้นก็จะไม่โต

มันเป็นแค่ความทรงจำ ไม่ใช่ธรรมแห่งความเป็นปัจจุบัน ที่เป็นความจริงอะไรต่อใจดวงนี้เลย

เรียกว่า เป็นผู้หลงอยู่กับอดีต ที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน

เด็กน้อยย่อมท่องจำนี่เป็นธรรมดา

โตขึ้นมายังเสือก ท่องแม่สองถึงแม่แปด เพื่อให้รู้ความหมายของแปดสองเท่ากับสิบหก คำตอบสิบหกนี้ถูก แต่ก็ถูกอย่างโง่หลาย

มันภูมิใจอะไรนักที่ตอบถูก ในความฉลาดอย่างควายๆ

มีความรู้ทางธรรมท่องจำได้อย่างหลากหลาย

แต่ใจเจ้าของเสือกนำมาใช้ไม่เป็นและไม่ถูกกาลอะไรเลย

นี่..เป็นสภาวะเด็กน้อยทางธรรม

Amarin ถามว่า…

ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุคือสมมุติ แล้วทำอย่างไร เราจึงละจากสมมุติทั้งหลายลงได้ละพระคุณเจ้า

สมมุติละไม่ได้ น่ะเจ้าหนุ่ม

สมมุตินี้เป็นอัตตา เกิดจากความไม่มีที่ตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา

สมมุตินี้เป็นอาการหนึ่งของอวิชชา เพื่อสร้างอัตตา ในการยึดเกาะ

หากไม่มีสมมุติ ไม่มีอัตตาในการยึดเกาะ

วิญญาณทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ไม่ได้

วิญญาณนี้ > อาศัย > เหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่ง

การปรุงแต่ง > อาศัย > อวิชชา

อวิชชา > อาศัย > ผัสสะ

ผัสสะ > อาศัย > อายตนะ

อายตนะ > อาศัย > นามรูป

นามรูป > อาศัย > วิญญาณ

วิญญาน > อาศัย > จิตสังขารแห่งการปรุงแต่

นี่… เป็นวัฏฏะวงล้อแห่งปฏิจสมุปบาทที่เป็นกาล แห่งอัตภาพเรานี้

การที่เราจะละออกจากสมมุตินี้ หากไม่ต้องขยายความอะไรมากก็คือ…

อยู่กับสมมุตินี้ไป ด้วยความเข้าใจและยอมรับไว้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนสมมุติ

เราอย่าได้ไหลลงไปตามกระแสแห่งสมมุติอะไรทั้งหลาย ที่มันหลั่งไหลและถาโถมพรั่งพรูออกมาอย่างมากมาย จากตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจดวงนี้ มากนักเลย

อยู่อย่างเข้าใจมัน และยอมรับมัน ว่ามัน…เป็นสมมุติ

ข้านี้เจริญรอยตามธรรมมาด้วยภาวะปัจจุบัน

ได้รับการชี้นำธรรมจากพระพุทธชินสีห์อย่าง น้อมเข้ามาใส่ตัว

ไม่ได้เชื่อบัญญัติธรรมที่แปลออกมาอย่างงมงาย

ธรรมทั้งหลายข้าน้อมเข้ามาใส่ตัว ตามหนทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้มา

เมื่อเกิดการปฏิบัติจริง ตามรู้จริง มันก็เห็นจริงขึ้นไปตามลำดับกำลังแห่งภูมิปัญญา

จนกระทั่งมันประจักษ์ใจ ยืนยันได้เต็มสัดส่วนแห่งกำลังใจ

ธรรมทั้งหลายใจจึงยอมรับความเป็นจริงตามคำชี้ทั้งหลาย ที่มีมาในคำแปลด้วยหัวใจตนเองอย่างชัดเจน

นี่….จึงเป็นธรรมอย่าง ..สันทิฏฐิโก

ธรรมทั้งหลายที่ประจักษ์แจ้ง จึงแทงลงกลางใจ และย่อขยายแบ่งปันให้น้องพี่ทั้งหลาย ให้มองเห็นและถอดถอนได้ตามความเป็นจริง

นี่…คือธรรมแห่ง ..อกาลิโก.. ที่น้อมใจเข้ามาเมื่อไหร่ ใจก็ย่อมมองเห็นเด่นชัดเมื่อนั้น

ที่สำคัญ.. มันมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เค้นมันออกมา

เราชาวพาราแห่งพุทธิสงฆา ย่อมเกิดมามีดวงตาเห็นธรรมทุกคน

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ” ยึดเปลือกเป็นเนื้อเยื่อ ” ณ วันที่ 10 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง