มีอะไรก็เป็นของกู

มีอะไรก็เป็นของกู

1411
0
แบ่งปัน

หวัดดียามเที่ยง

วันนี้เกิดปิติธรรมขึ้นมาในบางเรื่อง แต่ข้าก็จำไม่ได้ซะแล้ว

ธรรมผุดนี่ มันก็เหมือนความฝัน มันจำได้แค่เลือนลาง ที่จำๆ มามันก็เป็นกากแห่งธรรม ที่เจ้าของดื่มด่ำเนื้อมันไปหมดแล้ว

มันเหมือนกับว่า.. ความรู้ธรรมที่เป็นธรรมจักรหมุนเวียนไปเป็นแผ่นเป็นเลเยอร์บางๆ

เจ้าของมองผ่านแผ่นธรรมอย่างเกิดปิติใจ แผ่นใหม่ ก็ไหลลงไปทับถม

แผ่นแรกเป็นฐานให้แผ่นที่เข้าไปถม แผ่นที่เข้าไปถมเป็นฐานให้แผ่นต่อไปที่เข้าไปถม

นี่ มันเป็นฐานธรรมให้กันและกัน กันอย่างนี้ มันไหลต่อเนื่องกันไป

ใจเจ้าของก็ดื่มด่ำธรรมไปจากต้น กลาง ไปสู่ปลาย ธรรมทั้งหลายหลั่งไหลให้เจ้าของซึมซาบแต่เพียงผู้เดียว

นี่…เป็นเรื่องแห่งปัจจัตตังเลยทีเดียว เจ้าของเอง ก็จำได้มั่งไม่ได้มั่ง มันทำให้เห็นชัดว่า

ใจเรานี้ กับการปรุงแห่งจิตที่มันสาธยายธรรม มันคนละตัวกัน

ความเป็นเจ้าของนี่อย่างหนึ่ง เราคิดเราอ่าน เราทำ เราเป็น นี่ก็อีกอย่างหนึ่ง

ธรรมทั้งหลายที่จิตมันแก้อุบายไปตามปัญญาจิต มันก็แก้อุบายไปตามธรรมชาติของมัน เพราะมันโดนย้อมมาจนมันเป็นของมันอย่างนั้น

ส่วนความเป็นใจเรา ที่มีสติเข้าไปสอดส่งอาการปรุงของมัน เราจะมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของนั้น ไม่ได้เลย แต่เราเข้าใจว่าเราเป็น

เรามันก็แค่เก็บเกี่ยวไปตามสัญญาที่มันปรุง บันทึกได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่….เป็นความสามารถของความเป็นเรา

แต่ที่รู้ๆ ธรรมทั้งหลายที่มันเข้าไปเห็น มันไม่ใช่เราเป็นแน่ๆ

เราก็คือเรา เราแค่มีหน้าที่รู้อาการปรุงที่ดำเนินไปตามเส้นทางของมัน

รู้นี้ ไม่ใช่เรารู้ เรามันแค่ตัวเสือกในสิ่งที่รู้ และชอบแสดงความเป็นเจ้าของ

นี่..จิตดวงใด ที่มันปรุงแต่งตัวมันด้วยธรรมจักรหมุนวนไปด้วยอำนาจแห่งธรรม จิตดวงนั้นย่อมเป็นจิตที่หลุดพ้น

มันหลุดพ้นด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่เราเป็นผู้ทำให้มันหลุดพ้น

เรามันเป็นแค่ผู้เสือกในการเป็นเจ้าของ ถ้าเราเป็นผู้ทำให้เราหลุดพ้นได้ เราก็ย่อมปรารถนา ได้ดั่งใจทุกๆ เรื่องที่เราต้องการ

นี่… เรามันปรารถนาอะไรไม่ได้เลย ปรารถนาไม่แก่ มันก็แก่

ปรารถนาไม่เจ็บ มันก็เจ็บ

ปรารถนาไม่ตาย มันก็ตาย

หากเรามีปัญญาพอ เราจะเห็นชัดถึงความจริงที่ว่า

จิตก็เป็นอาการหนึ่ง

ใจก็เป็นอีกอาการหนึ่ง

เรา ก็เป็นอีกอาการหนึ่ง

ที่ต่างทำหน้าที่ของตนเองไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ความไม่ยุ่งเกี่ยวกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน

และการอาศัยซึ่งกันและกันนี่แหละ มันมีความเป็นตัวกูเข้าไปเสือกเป็นเจ้าของ ในทุกกระบวนการ

กิเลสนี่ มันฉลาดหลักแหลมอย่างกิเลส เราอย่าไปทำหือกับมันเชียว เพราะกิเลสนี่… มันเป็นตัวปัญญา ต้นตอเดิมมันคือตัวปัญญา แต่เป็นปัญญาที่กลายพันธุ์

ปัญญาตัวนี้ มันสร้างสมกำลังของมันมานับเป็นอสงไขย กำลังแห่งปัญญาของชาตินี้

มันจะมีเพียงพอหรือไม่ที่จะเข้าไปแก้ไขกิเลส ที่เคยเป็นพ่อแม่แห่งปัญญาเรา

การแก้ก็ต้องมาแยกย่อย ด้วยกำลังแห่งสติและปัญญา ว่าไอ้ที่คิดว่าเป็นเรา เป็นเขานั้น มันมีลักษณะเป็นก้อนๆ

เราพึงใช้ปัญญาและสติ แยกเราและเขา ที่เข้าใจว่าเป็นก้อนๆ นั้น คลี่คลายออกมาให้เห็นความเป็นจริง

ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่เรามี ที่เราเป็น ที่เราเห็น มันไม่มีเราเป็นเจ้าของและมีส่วนในความเป็นจริงทั้งหลายเหล่านั้น ตามที่เราเข้าใจเลย

เมื่อเห็นชัดประจักษ์ใจ ความมีเรามีเขาทั้งหลาย มันก็ผ่อนคลาย แยกย่อย เบาบาง สลาย จางคลายลงไป

เราก็จะอยู่อย่างเราที่เข้าใจ ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ

แม้มันจะมีเราเป็นเจ้าของจับต้อง แต่สิ่งที่เป็นเจ้าของจับต้องได้ มันก็ไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของในความมีเรานั้น อยู่เช่นกัน

เที่ยงนี้บ่ายโมงแล้ว ขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 13 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง