หวัดดียามเที่ยง
วันนี้เกิดปิติธรรมขึ้นมาใน
ธรรมผุดนี่ มันก็เหมือนความฝัน มันจำได้แค่เลือนลาง ที่จำๆ มามันก็เป็นกากแห่งธรรม ที่เจ้าของดื่มด่ำเนื้อมันไ
มันเหมือนกับว่า.. ความรู้ธรรมที่เป็นธรรมจักร
เจ้าของมองผ่านแผ่นธรรมอย่า
แผ่นแรกเป็นฐานให้แผ่นที่เข
นี่ มันเป็นฐานธรรมให้กันและกัน
ใจเจ้าของก็ดื่มด่ำธรรมไปจา
นี่…เป็นเรื่องแห่งปัจจัต
ใจเรานี้ กับการปรุงแห่งจิตที่มันสาธ
ความเป็นเจ้าของนี่อย่างหนึ
ธรรมทั้งหลายที่จิตมันแก้อุ
ส่วนความเป็นใจเรา ที่มีสติเข้าไปสอดส่งอาการป
เรามันก็แค่เก็บเกี่ยวไปตาม
แต่ที่รู้ๆ ธรรมทั้งหลายที่มันเข้าไปเห
เราก็คือเรา เราแค่มีหน้าที่รู้อาการปรุ
รู้นี้ ไม่ใช่เรารู้ เรามันแค่ตัวเสือกในสิ่งที่
นี่..จิตดวงใด ที่มันปรุงแต่งตัวมันด้วยธร
มันหลุดพ้นด้วยตัวมันเอง ไม่ใช่เราเป็นผู้ทำให้มันหล
เรามันเป็นแค่ผู้เสือกในการ
นี่… เรามันปรารถนาอะไรไม่ได้เลย
ปรารถนาไม่เจ็บ มันก็เจ็บ
ปรารถนาไม่ตาย มันก็ตาย
หากเรามีปัญญาพอ เราจะเห็นชัดถึงความจริงที่
จิตก็เป็นอาการหนึ่ง
ใจก็เป็นอีกอาการหนึ่ง
เรา ก็เป็นอีกอาการหนึ่ง
ที่ต่างทำหน้าที่ของตนเองไม
และการอาศัยซึ่งกันและกันนี
กิเลสนี่ มันฉลาดหลักแหลมอย่างกิเลส เราอย่าไปทำหือกับมันเชียว เพราะกิเลสนี่… มันเป็นตัวปัญญา ต้นตอเดิมมันคือตัวปัญญา แต่เป็นปัญญาที่กลายพันธุ์
ปัญญาตัวนี้ มันสร้างสมกำลังของมันมานับ
มันจะมีเพียงพอหรือไม่ที่จะ
การแก้ก็ต้องมาแยกย่อย ด้วยกำลังแห่งสติและปัญญา ว่าไอ้ที่คิดว่าเป็นเรา เป็นเขานั้น มันมีลักษณะเป็นก้อนๆ
เราพึงใช้ปัญญาและสติ แยกเราและเขา ที่เข้าใจว่าเป็นก้อนๆ นั้น คลี่คลายออกมาให้เห็นความเป
ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่เราม
เมื่อเห็นชัดประจักษ์ใจ ความมีเรามีเขาทั้งหลาย มันก็ผ่อนคลาย แยกย่อย เบาบาง สลาย จางคลายลงไป
เราก็จะอยู่อย่างเราที่เข้า
แม้มันจะมีเราเป็นเจ้าของจั
เที่ยงนี้บ่ายโมงแล้ว ขอสวัสดี
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 13 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง