เข้าฌาน ท่อนสอง

เข้าฌาน ท่อนสอง

1142
0
แบ่งปัน

หวัดดีทุกคน คืนนี้ ข้าจะต่อ ฌานสาม ฌานสี่ เอาไหม

อันที่จริง เรื่องสมาธิจิตนี่ สำหรับข้ามันตื้นๆ ก็เลยขี้เกียจอธิบาย แต่ไม่นึกว่า ไอ้ที่ง่ายๆ น้องๆ มันอยากฟังกันชิบหาย

เอาฌานสามต่อเลย

จิตคนเรานี่ หากไม่ลงมือปฏิบัติ ให้มันรู้แจ้ง มันก็จะคลำไปอย่างงมๆ ยิ่งถ้าเอาตำรามากางแล้วว่าตามตำรา มันก็จะยึดให้งงหนักเข้าไปอีก

พวกเรามันไม่เข้าใจ อาการแห่งจิต ไม่ได้มีปัญหาจากการปฏิบัติ แต่มักมีปัญหาจากการอ่านมา

ในตำรานี่ ท่านแสดงภาวะลักษณะให้ฟัง ให้เราพอเข้าใจ ว่ามันเป็นของมันอย่างงี้ๆๆๆ ไม่ใช่ให้เราเอาตำราเข้าไปเป็น สมาธิ

นี่…. ข้าก็เช่นกัน ข้าแค่อธิบายขยายที่ตำราเขาว่ามา ด้วยความประจักษ์แจ้งและเข้าใจ ให้พวกเราฟัง

เสียงมันตู๊ดไปตู๊ดมา คนเข้าๆ ออก ข้าเลยไม่มีสมาธิวินิจฉัยธรรมน่ะ มันจะไปวินิจฉัย ไอ้ตู๊ดๆ แทน

เรื่องฌานนี่ ส่วนใหญ่เราเข้าใจกันไม่ถูก นี่ว่ากันตรงๆ ที่เข้าใจๆ กัน มันเป็นแค่จำเขามาซะมากกว่า หรือบางคนปฏิบัติทางสมาธิ เพียงแค่เล็กน้อย แต่ก็โม้ซะ เป็นคนภูมิสูงไป

เราตั้งใจทำสมาธิจนเกิดภาวะจิตรวมนี่ มันต้องใช้เวลา และความชำนาญ กำลังสติที่มันไปจรดจ่อตรงปีตินี่ มันเป็นธรรมชาติของสมาธิ ที่เป็นธรรมดาของมัน

หากสติระลึกได้ว่า นี่เป็นอาการปีติ รู้สึกถึงอาการแห่งปิติ

นี่..กำลังจิตมันตกมาสู่วิตกแห่งปฐมฌานแล้ว เวลามันเข้าสู่ องค์แห่งฌานสอง คือ ปีติ สุข เอตคตารมณ์ มันระลึกไม่ได้ ว่านี่ วิตก นี่วิจารณ์ นี่ปีติ นี่สุข นี่เอตคตารมณ์

ระลึกได้เมื่อไหร่ กำลังมันไหลลงมาสู่ปฐมฌานแล้ว เสี้ยนหนามของปฐมฌานคือ ความรำคาญ และใส่ใจในผัสสะทางอายตนะ เรียกว่า “..นิวรณ์..”

เสี้ยนหนามแห่งฌานสองก็คือ “.. วิตก วิจารณ์ ..”

นี่..วิตกวิจารณ์เกิดเมื่อไหร่ จิตหลุดจากฌานสอง คือปีติทันที

ไอ้พวกที่ นั่งๆ ไป คอยนึกไปว่า นี่สงสัยเป็นปีติหนอ นี่คงเรียกว่าสุขหนอ นี่..พวกนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นวิตก วิจารณ์ แถมฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ด้วยความอยากเอาซะด้วย

ขั้นปีตินี่ เรามักจะติดกันตรงนี้ เพราะขั้นนี้ มันมีอาการทางจิตที่แปลก ประหลาดใจแก่เจ้าของ อยู่ที่ว่า มันจะปรุงมาทางไหนในทางอายตนะ ขั้นนี้ มันปรุงจากภายในออกมา

เราอาจได้กลิ่น ได้ยินเสียง ขนลุกสั่นสะท้าน หรืออะไรต่างๆ มากมาย นี่..มันปรุงมาจากภายในสังขารจิตทั้งสิ้น

หากมีผู้ชี้ และเข้าใจว่ามันเป็นแค่อาการแห่งจิตที่ปรุงขึ้นมา ใจมันจะเจือจางอาการแห่งปีติ จิตหดตัวเพ่งไปที่สุขแทน แต่ก็ต้องย้อมใจกับมันอยู่นานเหมือนกัน

เพราะธรรมชาติแห่งจิต มันชอบยึดในสิ่งที่ผัสสะ อะไรแปลกๆมันมักไม่วาง จิตมันไม่วางอาการเอง ไม่ใช่เราวาง มันไม่มีเราในขั้นปิติขึ้นไป

สุขนี้ เราก็ไม่เข้าใจกันอีก ไม่ใช่มีความสุขแบบสุขเวทนาอะไรอย่างนั้น สุขนี้ มันไม่มีการปรุงแต่งแห่งปีติจิต มันว่างจากปีติ เข้าสู่สภาวะอิ่มเอิบว่างผ่อนคลาย จากผัสสะใดๆ

มันเป็นอารมณ์ว่างๆ ไม่รำคาญหรือใส่ใจใดๆ จากผัสสะ ความรู้สึกเหมือนตัวบีบบอบบางรัดแน่นเข้ามาแคบและชิดตัว

แต่ความรู้สึกแห่งตัวตนนั้น แทบไม่มี ไม่รู้ตัวมันไปอยู่ไหน มันทรงอาการอิ่มเอมและเป็นอารมณ์เดียวเพียงแค่นี้

นี่.เรียกว่า ฌานสาม

กำลังจิตในแต่ละขั้นของฌานนี่ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีก อย่างข้านี่ เมื่อจิตรวมในขั้นปีติจิต มันจะเกิดความสว่างโพลน ทุกอย่างขาวหมด มองอะไรไม่เห็น

แรกๆ ก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก พอเป็นบ่อยๆ เข้า ความอัศจรรย์ใจภายในมันก็เกิด พอมันเป็นหลายๆครั้งก็เริ่มชำนาญ ความอยากรู้อยากเห็นมันก็เข้ามาครอบงำ

จิตขั้นนี้ มันเป็นขั้น อุปจารสมาธิ ความรู้สึกอะไรต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าของ มันยังมีพร้อมมูล เป็นแต่ใจมันเพ่งอยู่กับอาการปรุงแต่งทางจิตเท่านั้น

หลังๆ เมื่อจิตรวมเป็นกำลังใหญ่ เกิดความชำนาญ ใจมันก็ใส่โปรแกรมลงไปในปีติอีก ในความสว่างนั้น มันก็จะก่อรูปขึ้นมา ตามเจตนา ที่เจ้าของใส่ลงไป

นึกถึงสวรรค์ สวรรค์ก็ปรากฏเชียวละ

นึกถึงนรก นรกก็ปรากฏให้เห็นให้รู้

นึกถึงคนตาย สถานที่ อะไรต่ออะไร มันก็จะปรากฏขึ้นมา

นี่..ข้าติดอยู่ในขั้นนี้ หลายปี เพราะชอบอยากรู้อยากเห็น เมื่อชำนาญเข้า มันก็เริ่มเข้าใจ ว่าไอ้สิ่งที่รู้ที่เห็นทั้งหลาย มันไม่จริง

ที่คิดว่าจริง มันเกิดจากการปรุงแต่งแห่งจิต ที่เจ้าของใส่เจตนาลงไป อย่างเช่น พอข้านึกถึงแม่ ภาพแม่ที่เป็นนางฟ้า ก็จะปรากฏ อยู่ชั้นนั้นชั้นนี่ วิมานอะไร มันรู้หมด

นี่…แรกๆ มันไม่รู้ ว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นจิตปรุงแต่ง พอนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ตายไป เพื่อนคนนี้ ไปอยู่ในนรก ไปเห็นความทุรนทุรายที่เพื่อนต้องเผชิญ นี่..มันเห็นของมันอย่างนี้อีก

แต่ที่สุดแห่งปัญญา ข้าก็รู้ได้ว่า จริงๆ แล้วมันไม่จริง สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏ มันเกิดจากจิตมันปรุงขึ้นมาของมันเอง อย่างเรื่องแม่ เป็นเพราะเราย้อมใจของเราว่า ท่านต้องได้บุญได้กุศลที่เราบวช

จิตมันก็ปรุงแต่ง ไปตามความรู้สึกนึกคิด ว่าบุญนี้ ทำให้ท่านได้เป็นเทพยาดา ส่วนเพื่อนที่ลงนรกนั้น เป็นเพราะจิตเราอีกนั่นแหละ ที่มันรู้เห็นว่า เพื่อนคนนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นคนไม่ดี

เมื่อไม่ดี จิตมันก็เลยปรุงว่าเขากำลังลงนรก เรื่องพวกนี้มันละเอียดลึกซึ๊ง คนทั่วไปตามรู้เห็นยาก แต่ข้าเข้าใจก็แล้วกัน ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ได้ ว่าอาการทั้งหลายในมโนจิต มันไม่ใช่ของจริง

มันเป็นแค่ ภาวะจิตปรุงแต่ง เหมือนอย่างที่เราฝันเพ้อปรุงของมันไป เป็นเพียงแต่ว่า เรามันมีสติตามรู้ในสิ่งที่ปรุง เราก็เลยเข้าใจว่า เรารู้เราเห็นเราเป็น

ภาวะนี้ หากผ่านไม่ได้ เราจะไม่รู้ความจริงเลย ว่าอาการทั้งหลายที่เรารู้เราเห็น เป็นอาการแค่จิตมันปรุง เราจะแช่อยู่กับความพอใจ ที่เหมือนกับออกไปรู้เห็น

และจะติดอาการแห่งฌานแค่กำลังฌานแค่นี้ เพราะเมื่อผ่านขั้นนี้ไปอย่างเข้าใจ จิตมีกำลังคมกล้า และชำนาญจากฌานสี่

เมื่อเกิดพิจารณาสอดส่งลงไป ความจริงทั้งหลายมันก็จะปรากฏ ยืนยันใจเจ้าของได้เอง ว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นที่เป็นที่เข้าใจว่าใช่ว่าจริง มันเป็นสิ่งที่จิตมันปรุงแต่งของมันขึ้นมาเอง

มันไม่มีอะไรจริงเลย มันเป็นอาการแห่งจิตที่ปรุงไปตามเหตุและปัจจัยที่ได้บันทึกและย้อมเข้าไป เท่านั้นเอง

นี่..เป็นเรื่องของจิตที่พวกเรายากที่จะเข้าใจ และไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย หากไม่ได้สร้างสมและอบรมกันมา นับหลายๆ อดีตชาติ

ไอ้คำว่าเรานี่ มันชอบเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ เมื่อสติเกิดตามรู้เห็นทางจิต เราก็เลยเข้าใจว่าเป็นเรา เข้าไปรู้เห็น

ตรงนี้เป็นอุปกิเลสให้ใจมันยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวขวางมรรคผล ผู้ฝึกมาทางจิต ไม่ว่าศาสนาไหนต่างก็เป็นและติดภาวะอาการกัน ว่าเราเป็น

ผู้มีปัญญาทางพุทธนี้ เมื่อเข้าถึงที่สุด จะรู้และเข้าใจได้เองว่า มันไม่จริง มันเป็นอาการปรุงแต่งสมมุติทางจิต ที่เป็นธรรมดาของมัน

เรา..เสือกเป็นเจ้าของเอง..

คืนนี้ คุยกันมามากแล้ว คงพอกันแค่นี้ก่อน วันหน้าค่อยคุยกันถึง ฌานสี่ต่อ

คืนนี้สวัสดี เอ้า..ยังมีคนถามมาอีก มันไม่ใช่วางอย่านั้นอีหนู ว่างอย่างนั้นวางอย่างนั้น เรามันสร้างเหตุขึ้นมาให้เป็น พุทธนี้ คือปัญญาที่เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่เอาตัวเข้าไปเป็น

ยากไม๊ เรามันชอบคิดกันเอาเอง คิดแล้วทึกทักเอาซะด้วย ไม่ใช่อย่างที่เราคิดๆ กันทั้งนั้น

ภาวะพวกนี้ อันที่จริง ไม่ควรจะนำมาบอกหรอก แต่คนที่ผ่านแล้ว มันก็เห็นของมันชัดเจน

ส่วนคนที่ยังตรึงอยู่ในภาวะนี้ อธิบายยังไง ก็ไม่เข้าใจ เพราะเราเอาตัวเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ นี่ เป็นธรรมดา

การรู้เห็นนี่ มันต่างก็รู้เห็นได้ เท่าที่ต้องการ เพียงแต่เราไม่รู้ว่า สิ่งที่รู้เห็นนั้น มันเป็นแค่สมมุติปรุงแต่งทางจิตทั้งนั้น

ข้านี่ แม่นมากๆ จะบอกให้ รู้หมดแหละ และใช่ตรงจริงๆ ซะด้วย ตรงนี้ ทำให้ข้ายึดติดอยู่นาน
และไม่รู้เลยว่า อาการทั้งหลายนี้ มันเป็นอาการปรุงแต่งทางจิต จิตมันมีโปรแกรมของมัน เราเสือกไปเป็นเจ้าของเท่านั้นเอง

ธรรมชาติแห่งจิตนี่ แปลกนักหนา ยึดเข้าเมื่อไหร่ จมในกระแสเมื่อนั้น แต่ไม่ยึดก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติแห่งใจ มันต้องยึด นี่..เป็นธรรมดา

เราเข้าใจธรรมดาไหม…??

ปัญหาอยู่ที่เรามันไม่เข้าใจ ความธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง ไม่เป็นไร ข้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว ข้านี่..รู้ธรรมดา พวกเรามัน รู้มาก ต่างกันแค่นี้เอง

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 มกราคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง