นิพพาน สูญหรือ

นิพพาน สูญหรือ

1120
0
แบ่งปัน

คำถาม : หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาติสอบถามครับผม คำว่านิพพานสูญ นั้น คือกิเลสสูญหรือจิตสูญครับ คือใน พรหมชาลสูตร ตอนหนึ่งกล่าวว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตอันมีตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพได้ขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่ตถาคตดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น ครั้นสรีภาคแห่งตถาคตแตกดับแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคตอีก

แต่ก็มีครูบาอาจารย์หลายท่าน บอกว่านิพานนั้นคือกิเลสสูญเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

(ส่วนตัวผมก็นับถือทั้งสองท่านมากเช่นกัน) และทั้งกายฝึกมโนมยิทธิ ของทางวัดท่าซุง มีการกล่าวว่า สามารถเห็นนิมิตพบพระพุทธองค์ได้ ไปกราบพระองค์บนพระนิพพานได้ (แม้แต่ในสายอื่นก็มีบอกประมาณนี้เช่นกันว่า พบพระพุทธองค์)

ตัวผมเองก็พยายามลองฝึก และหาคำตอบด้วยตนเองมาแล้วครับ แต่ก็ไม่พบ ไม่ทราบว่าศีลผมยังไม่บริบรูณ์พอหรือปัจจัยอื่นๆ

ผมอนุมานว่า

1. คนเหล่านั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่ของจริง(อาจจะเป็นนิมิตหลอก หรือสัญญาเก่า ที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา ทำให้เห็นภาพเหล่านั้น)

2.นิมิตนั้น คือของจริง
ขอหลวงพ่อโปรดเมตตาตอบคำถามนี้ด้วยครับผม

คำถามนี้เป็นเสมือนนิวรณ์ที่คาใจผมมากเลยครับ เพราะหลวงพ่อทั้งสองท่านทีผมกล่าวถึง ผมปฏิบัติตามคำสอนท่านมานาน แต่พอเจอพระสูตรนี้ ทำให้สงสัยครับผม(ความเชื่อจึงสั่นคอน)

ความจริงเป็นสิ่งที่โหดร้ายสำหรับผู้ที่อ่อนแอครับผม เคยไปถามหลายคนที่เขานับถือเช่นเดียวกัน พอเขาตอบไม่ได้เขาก็หาว่าลบหลู่ ผมเลยเบื่อคนที่เชื่อโดยศรัทธานำปัญญา เชื่อโดยเขาเล่าว่า กราบนมัสการครับผม

พระอาจารย์ : ขอสาธุคุณ

กิเลสนี่ ไม่ได้สูญ จิตนี่ก็ไม่ได้สูญ

คำว่ากิเลสไม่ได้สูญนี่สำหรับคำว่านิพพานมันดูแปลกๆ เรารับกันไม่ได้

แต่กิเลสมันก็ยังไม่สูญจริงๆ เหตุเพราะเรามันไม่เข้าใจความหมายลึกแห่งคำว่า กิเลส

ถ้าขัดคอกัน มันก็เถียงกันตาย เรื่องนิพพานกับกิเลส แต่ตรงนี้ จะยังไม่ขยายความออกมา

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่เห็นตถาคตอีกนั้น มันมีกาลแห่งความหมาย

คนแปลเขาไปใช้คำว่าตถาคต ความหมายนี้หมายถึง รูปสังขารที่จะวนเวียนเกิดดับนี่ จะไม่มี อันสังขารนี้ ขาดแล้วซึ่งตัณหา

การเวียนมาปรุงแต่งเป็นสังขารอีก ด้วยอำนาจแห่งตัณหาเป็นไม่มี สิ้นแห่งสังขารนี้ เหล่ามนุษยและเทวดา ต่างไม่ได้เห็นกันอีกแล้ว

ส่วนเรื่องของหลวงพ่อฤษีลิงดำ เป็นอาการปรุงแต่งทางจิตของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน

การปรุงแต่งใส่เจตนาว่าได้เข้าเฝ้า เป็นสมมุติจิตอย่างหนึ่ง ให้มีที่ตั้งแห่งใจในการที่ไม่ทำชั่ว

หลวงพ่อท่านมีคำสอนคำชี้ให้ผู้ฝึก มีธรรมเป็นเครื่องดำเนินอยู่

นิมิตทั้งหลายมันก็เป็นจริงของแต่ละคนไป เพียงแต่นิมิตทั้งหลายนั้นมันเป็นสมมุติจิต

การที่จิตดวงนี้ เข้าถึงนิพพานได้นี่ มันต้องอาศัยปัญญาทวนเข้าไปตี อวิชา

การเข้าสมาธิแล้วเกิดนิมิตไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตายแล้วจะได้นิพพานนี่ เป็นความคิดที่โง่หลาย มันไม่ได้แก้อุบายจิต ไม่ได้เกิดปัญญาญานแจ้งแทงตลอดสายแห่งวิมุตติ

การทำสมาธิมันเป็นการดับเวทนาแค่ช่วงหนึ่ง เมื่อเกิดการปรุงแต่งเข้าไปสู่ภวังค์ เมื่อกลับมาสู่วิถีจิต มันก็ยังโง่เหมือนเดิม

มันไม่ได้แก้สัญญาจิตแห่งอุปาทานอะไรเลย มีแต่จะยิ่งยึดว่าได้อย่างนั้นได้อย่างนี้

กลายเป็นมานะที่ท่วมท้นล้นใจ มั่นใจว่าตนเองคงได้ไปนิพพาน

การที่จิตมันปรุงเข้าสู่แดนนิพพาน หรือไปเห็นนรก อะไรนี่

มันเป็นเครื่องยืนยันใจเราให้มันประจักษ์ใจว่าอย่าไปทำชั่ว

เพราะสิ่งเหล่านี้ ในแต่ละคนมันก็มีของมัน

มันเป็นสมมุติจิตของแต่ละคนที่มันปรุงกันออกมาไม่เท่ากัน

ถ้าเป็นฝรั่งนิพพานก็ไม่ใช่รูปทรงอย่างที่เห็นละ คนจีนก็อีกอย่าง เขมรก็อย่าง สมมุติสัญญามันไม่เหมือนกัน

แต่ไม่ว่าใครจะรู้จะเห็นอย่างไร มันก็เป็นสังขารทางจิตที่มันปรุงแต่งไปทั้งสิ้น

มันเป็นสมมุติ และพวกเรามันก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะพวกเรามันต้องอาศัยสมมุติเป็นเครื่องดำเนิน

คำถาม : ข้อแรก แสดงว่า จิตมิได้สูญไป

ข้อสอง สิ่งที่เห็นนั้นผมเข้าใจว่าเป็นสัญญาแห่งจิตของแต่ละท่าน (เกิดจากความชอบในรูปของแต่ล่ะคน หรืออดีตอาจเคยพบพระองค์ตอนยังดำรงค์ขันธ์อยู่)

ข้อสาม ในคำสอนของหลวงพ่อฤาษีท่านเพื่อให้เกรงกลัวต่อบาป และละเลิก ทำความดีและอินทรีย์ให้ถึงพร้อม ให้มีความพอใจในพระนิพพาน

ผมสรุปแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ตกหล่นประการใด หลวงพ่อโปรดขัดเกลาให้อีกทีนะครับผม กราบนมัสการครับผม

พระอาจารย์ : จิตนี้ไม่ได้สูญแน่ เหตุแห่งจิตที่ปรุงขึ้นมามันมีอยู่ คำว่าจิตนี้ เกิดจากการปรุงแต่งด้วยอำนาจแห่งอวิชา

เพราะอวิชามี การปรุงแต่งเพื่อความกระจ่างแจ้ง ก็เลยมี

ที่มีนี่ ทำให้เกิดวัฏฏะแห่งการเกิดดับทางรูปธาตุสังขาร โดยไม่รู้จบ

เมื่อสะสมทบทวนเกิดปัญญาญาน มีกำลังทวนเข้าไปสู่ความเป็นวิมุตติ เห็นความเป็นสมมุติประจักษ์แจ้ง ด้วยตัวมันเองที่หลงยึดไป

ความคลายแห่งอุปาทานก็เลยเกิด อุปาทานนี่ เป็นเหตุ เป็นเสบียงในการเวียนว่ายตายเกิด

คำว่า เมื่อสิ้นอุปาทานนี่ ไม่ใช่ไม่มีอุปาทาน แต่เป็นความเข้าใจและรู้แจ้ง ว่าอุปาทานทั้งหลาย ที่หลงยึดนั่นนี่อยู่นั้น มันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง

จิตที่ก่อเกิดกำเนิด มันก็ยังคงเป็นรูปจิตอยู่เช่นนั้น การบันทึกจากทางอายตนะแห่งรูป ที่เคยผ่านรูป มันก็มีบัทึกอยู่อย่างนั้น บันทึกผ่านอายตนะ ไม่ได้สูญหายไปไหน

พวกเราไม่เข้าใจคำว่า นิพพานกันเอง พูดเท่าไหร่ก็ผิดเท่านั้น

นิพพานังปรมัง สุขขัง คำนี้ ก็มี

นิพพานังปรมัง สูญญัง คำนี้ก็มี

เมื่อมีสุขก็ย่อมไม่สูญ

จิตนี้ไม่มีดับ แม้นิพพานแล้วก็ไม่ได้ดับ

ที่ดับมันดับไปจากการกลับมาวนเวียนสร้างรูป

ถ้าดับ สำหรับผู้มีฌาน ก็คงไม่สามารถได้เจอ ทั้งสาวกและพระพุทธองค์ ที่ทรงนิพพานไปแล้ว

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสาธารณะทั่วไป มันยืนยันด้วยใจให้ใครเห็นไม่ได้ มันจะเป็นเด็กน้อย เข้าใจแบบบนดวงจันทร์มันมีกระต่าย

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า อายตนะนั้นมีอยู่

แต่ไม่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีอากาศ ไม่มีวิญญาน ไม่มีความว่างเปล่า ไม่มีสัญญาระลึก ไม่จุติไม่เคลื่อนกลับมา ไม่ขึ้นกับกลางวัน กลางคืน

หรือสมมุติใดๆ อย่างการปรุงแต่งแห่งจิตเราที่อาศัยการผัสสะ ท่านกล่าวว่า นี่เป็นแดนแห่งความพ้นทุกข์

การเข้าสู่นิพพานเพื่อการดับสูญ คงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนอยากเข้านิพพาน ฝึกมาแทบแย่ สะสมมานานเพื่อความดับสูญอะไรนี่ มันผิดธรรมชาติจิต

นิพพานไม่ใช่การดับสูญ ไม่ใช่จิตสูญ แต่อายตนะ คือจิตดวงนี้ ยังมีอยู่

พระพุทธองค์เจ้า หรือพระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อบรรลุธรรม

ชีวิตก็ยังคงอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน

และกายที่ครองตัวอยู่ ก็เป็นแค่เครื่องมือให้วิญญานครอง

จิตก็ส่วนหนึ่ง กายก็ส่วนหนึ่ง มันอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เมื่อถึงกาล

วิญญานแห่งเรือนกายที่เรียกว่าจิต ก็ต้องจากไป

ก็ในเมื่อท่านทั้งหลายได้บรรลุธรรม ไม่เห็นว่าท่านจะตาย

ท่านก็ยังครองตัวใช้ร่างกาย ผลก็แสดงอยู่ว่า เมื่อเข้าถึงธรรม บรรลุธรรมแล้ว จิตก็ยังครองกายอยู่

และกายกับจิต มันก็คนละส่วนกัน เพียงแต่อาศัยซึ่งกันและกันตามเหตุปัจจัย กายมันจะตายไม่ตาย แต่จิตมันนิพพานเรียบร้อยไปแล้ว

ที่อยู่ประกาสศาสนาหรือชี้แนะผู้คนให้เห็นความจริง นั่นเป็นอาการของจิตที่แสดงออกผ่านกาย

หากนิพพานแล้วจิตสูญ บรรลุแล้วจิตก็ต้องสูญไปด้วยเหมือนกัน แต่นี่จิตยังคงอยู่ ยังครองเรือนกายอยู่ นิพพานไม่ใช่การที่กายต้องแตกตายแล้วจึงนิพพาน

จิตที่มันเข้าถึงที่สุดแห่งกาลแห่งความเป็นจริง เมื่อเข้าถึง การจะกลับมาก่อกำเนิดเป็นรูปด้วยวิบากจิต นี่ขาดสูญ

นี่แสดงว่า ไม่ใช่ต้องตายแล้วจะนิพพาน

นิพพานนี่ ไม่ใช่การตาย
หรือการสูญสิ้น

กายแตกตายไปตามกาล จิตก็ย่อมเป็นจิตที่จากกายไป

ไม่ใช่จิตจะต้องดับเพราะกายแตกตาย

จิตไม่ใช่กาย เมื่อบรรลุยังครองกายอยู่ได้ แสดงว่า การนิพพาน ไม่ได้สูญ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง