เรื่องต่อจาก บทธรรม เรื่อง ธรรมชาติแห่งนิยาม ลงบทธรรม ณ วันที่ 2 มกราคม 2558 หน้าเพจ พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
เมื่อเช้าได้พูดธรรมเกี่ยวกับ ธรรมชาติทั้งห้า
ธรรมชาติแห่งอุตุนิยามกับ พิชนิยาม เป็นธรรมชาติที่เราคุ้นเคยกันดี
มันเป็นธรรมชาติแห่งฟิสิกส์และชีวะ สามารถหาเหตุหาผลมาแสดงให้ปรากฏชัดแจ้งได้ ด้วยเหตุผลทางวัตถุ ปรัชญา ตรรกะ ในเชิงสมมุติฐานและวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ออกมาได้
อุตุนิยามนี่ เป็นธรรมชาติแห่งความร้อนเย็น แปรปวน พลังงาน กระแสมวล ไฟฟ้า การเคลื่อนที่ การเกิดดับ เยอะแยะไปหมด ที่เกิดขึ้นในโลก
ส่วนพิชนิยาม เป็นธรรมชาติการก่อกำเนิด พันธุกรรม ดีเอ็นเอ เกษตร พืช ชีวิต มนุษย์ สัตว์ และทุกอย่าง ที่มีชีวิต รวมถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตอีกหลายๆ อย่าง
สองอย่างนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ เราสามารถให้ความหมายและยืนยันตามเหตุและปัจจัยได้ เท่าที่วิทยาจะค้นคว้าพบ และนำมายืนยันด้วยเหตุด้วยผลแห่งตรรกะและปรัชญา
แต่ธรรมชาติอีกสามตัว เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ยากที่จะเข้าไปล่วงรู้ และที่เราไม่รู้ยิ่งเข้าไปอีกก็คือ
ธรรมชาติเหล่านี้ มันอาศัยแฝงตัวอยู่ใน อุตุนิยามและพิชนิยาม นี่ทำให้เราเกิดข้อสงสัยในสิ่งที่อธิบายไม่ได้ในเชิง วิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่มันก็คือวิทยาศาสตร์ตัวหนึ่งเช่นกัน
เรามาว่ากันถึงธรรมชาติแห่งจิตนิยามกัน
พอดีไม่ว่างซะแล้วอีก ขอยกไปโอกาสหน้า มีแขกน้องๆ มาเยือน นั่งอธิบายก็จะไม่มีสมาธิ ขอสาธุคุณโมทนา กับทุกคน
เรามาว่ากันถึงเรื่อง จิตนิยาม
ธรรมชาติแห่งจิตนิยามนี้ เป็นธรรมชาติแห่งการปรุงแต่ง อาศัยผัสสะ และธาตุรู้ เป็นตัวกำเนิด
ธรรมชาติแห่งธาตุรู้ ผัสสะกับ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะความไม่รู้แห่งผัสสะเป็นเหตุ วงจรปฏิจจสมุปบาท จึงได้กำเนิดเกิดขึ้นมา เรื่องธาตุรู้นี่ ก็ต้องไปขยายความกันอีกว่ามันคืออะไร
เมื่อผัสสะเกิด ความหมายแห่งคำว่า อวิชชา จึงกำเนิดขึ้นมาจากเหตุที่ผัสสะเป็นต้นเหตุ
การผัสสะอาศัยกาลในการสะสมเทียบเคียงปรุงแต่งเรียกว่า จิต นี่จิตกำเนิดได้เพราะมีอวิชาเป็นเหตุ ไม่ใช่จิตมันมีของมันแต่ก่อนอยู่แล้ว ดั่งที่อ่านๆแล้วตีความกัน
ในกฏแห่งปฏิจสมุปบาท ท่านก็กล่าวไว้ว่า เพราะอวิชาเป็นเหตุ จิตสังขารจึงมี
ในคำว่าจิตเป็นการปรุงแต่งที่หลากหลายจากข้อมูลผัสสะแห่ง อวิชชา
การปรุงแต่งนี้ แยกออกเป็นทางพลังงานก็มี ทางสสารก็มี
พลังงานที่อาศัยสสารก็มี สสารที่อาศัยพลังงานก็มี
ที่ปรุงไปตามสสารก็ปรุงแต่งแตกแยกออกไปเป็นสรรพสิ่งในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่จัดได้ว่า ไม่มีวิญญาณครอง แต่ก็มีการปรุงแต่งขยายแยกออกไปตามหลักแห่งพิชนิยาม อาศัยธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขยายเติบใหญ่ ไปตามโปรแกรมแห่งผัสสะ
ที่ปรุงแต่งมาทางพลังงาน เป็นดวงจิตที่มีสภาพวิญญาณ อาศัยธาตุกำเนิดจากแหล่งพิชนิยาม อุตุนิยาม สร้างรูปขึ้นมา เพื่อรับการผัสสะในการปรุงแต่ง
สภาวะจิตเหล่านี้ เมื่อให้กำเนิดรูปเป็นสิ่งมีชีวิตแล้ว ก็อาศัยการปรุงแต่งแห่งผัสสะจากรูปเป็นเครื่องปรุง
แบ่งออกเป็น ปรุงไปตามวิถีจิต กับปรุงไปตามภวังค์จิตอีก
วิถีจิตก็อาศัยประสาทกล้ามเนื้อเส้นเอ็นประสาทสัมผัส ผัสสะในการปรุง แหม มีงานอีกว่ะ ต้องพักก่อน
เอ้าต่ออีกหน่อย
วิถีจิตก็อาศัยประสาทกล้ามเนื้อเส้นเอ็นประสาทสัมผัส ผัสสะในการปรุง
อาศัยอายตนะ ที่เป็นช่องต่อเข้าสู่วิญญาณ ที่เกิดจากการปรุงแต่งแห่งจิต ที่มาจากอวิชชาเป็นเหตุ เช่น ตา หู ลิ้น ฯ เพื่อดำเนินไปแห่งการปรุง
ส่วนภวังค์จิตเป็นการปรุงแต่งของจิต ที่ไม่ได้อาศัยอายตนะ ที่เป็นช่องทางเข้าภายนอก
แต่อาศัยการปรุงแต่งทางภวังค์ที่เป็นข้อมูล เรียกว่าเป็นมโนจิตแห่งความทรงจำบันทึกเรื่องราว จากวิถีจิต มาเป็นเครื่องปรุง
เมื่อธาตุได้ก่อตัววิวัฒนาการมาเป็นรูปแล้ว วิญญาณที่เป็นดวงจิตย่อมเข้าไปอาศัย
ในต้นไม้ เป็นการปรุงแต่งทางจิตที่ไม่มีวิญญาณ แต่มีพลังงานแห่งภวังค์จิต เข้าไปอาศัยซ่อนรูป เราเรียกว่า พวกรุกขเทวดา
พวกรุกขเทวดานี่ เป็นพลังงาน ที่ไม่ได้อาศัยวิถีจิตในการปรุง
พลังงานพวกนี้ ได้เก็บบันทึกการปรุงมาแต่ตอนมีรูปในวิถีจิตมาก่อนแล้ว
เมื่อสิ้นรูป พลังงานแห่งดวงจิตนี้ จึงอยู่ในโปรแกรมแห่งภวังค์จิตที่ไร้รูปแห่งวิถีจิต
พลังงานเหล่านี้ ก็ต้องรอกาลที่เป็นวิบากมาให้ผลขับเคลื่อน เรียกธรรมชาติแห่งวิบากจิตเหล่านี้ว่า กรรมนิยาม
จิตนิยามนี้กว้าง สามารถอธิบายได้พิสดารและหลากหลาย
จิตมีธรรมชาติแห่งการปรุงแต่ง อาศัยอวิชาที่มีการผัสสะเป็นเหตุ
ต้นไม้ ไม่มีวิญญาณครอง แม้จะมีพลังงานอื่นมาครองรูป แต่ไม่เกี่ยวกับต้นไม้
ต้นไม้ยังมีธาตุรู้ในการเอาตัวรอด ป้องกันตัวเอง แสวงหาช่องทางแห่งแสงสว่าง
ต้นไม้เป็นวิญญานบอด ที่ไม่ได้อาศัย ตา หู ลิ้น จมูก ใจ เป็นช่องต่อแห่งอายตนะ
แต่มันก็มีอายตนะคือรูป ในการผัสสะไปสู่การปรุงแต่ง เป็นวิญญานที่ไม่ได้อาศัย เวทนาอย่าง วิถีจิต และภวังค์จิต แต่ก็นับว่าเป็นจิตอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า เป็นวิญญานบอดอันเกิดจากการปรุงแต่งเป็นเหตุ
สิ่งเหล่านี้ เป็นจิตนิยาม เป็นธรรมชาติแห่งจิตที่ได้รับการปรุงแต่ง
เพียงแต่เป็นจิตที่ยังไม่มีวิญญาณครอง วิญญาณไม่สามารถก่อรูปมาทางด้านพลังงาน
และปรุงแต่งรูปให้มีอายตนะได้ครบถ้วน อย่างพวกวิถีวิญญาณและภวังค์วิญญาณ
ยิ่งอธิบายพวกเราก็คงยิ่งมึน แต่มันก็ประจักษ์จิตใจของข้าอยู่ ก็ต้องว่าไปตามปัจจัยและเหตุที่เราเข้าใจสมมุติบัญญัติ
ที่จริง สัตว์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องอยู่ของวิญญาณ นี่มันก็เป็นรูป ที่ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้
เรานี่มันก็เหมือนกับต้นไม้ แต่เป็นต้นไม้ที่มีวิญญาณครอง และวิญญานนี้เป็นวิญญานที่ปรุงแต่ง แห่งวิถีจิตและภวังค์จิต ด้วยวิบากของตัวมันเอง
เป็นต้นไม้ที่มีอายตนะครบ ในการผัสสะทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์
แต่ตัวรู้สึกทั้งหลาย มันเป็นกระบวนการทางวิญญาณโน่น ที่มันแรุงแต่ง มันอาศัยผัสสะผ่านกาย ในการปรุงแต่ง
กายไม่เกี่ยว กายนี้ก็เหมือนต้นไม้ มันก็มีกระบวนการของมันอย่างไม่รู้ไม่ชี้
เพียงแต่กายนี้ จิตมันสร้างโปรแกรมเสือกขึ้นมาเพื่อรักษาต้นไม้แห่งกายนี้
ต้นไม้แห่งกายนี้ก็เลยมีเจ้าของ
ส่วนต้นไม้ในธรรมชาติ มันไม่มีจิตปรุงตัวเสือกขึ้นมาเป็นเจ้าของกาย
ต้นไม้มันก็เลยไม่มีอาการเดือดร้อนด้วยความเสือกแห่งตัวกู
นี่อธิบายมาพอคร่าวๆ ฟังกันรู้เรื่องเปล่าก็ยังไม่รู้
เอาเป็นว่า หากอยากรู้เรื่องพิลึกกึกกือเช่นนี้ ว่างๆ ก็มาถามและนั่งฟังเฉพาะหน้าจะดีกว่า
ขี้เกียจจิ้มอักษรชิบหาย นี่เป็นกรรมของกูแท้ๆ ที่เสือกเกิดมา แล้วต้องมานั่งแสดงธรรม
อย่าอยากเกิดมาอีกเลยเพื่อนเอ๋ย
นี่เป็นจิตนิยามโดยประมาณ
ในจิตนิยาม มันก็มี พิชนิยาม มีอุตุนิยาม มีกรรมนิยาม มีธรรมนิยาม
ในกรรมนิยาม ก็มี พิชนิยาม มีอุตุนิยาม มีจิตนิยาม มีธรรมนิยาม
ในแต่ละตัว มันมีนิยามทั้งห้ารวมกันทุกตัว
นิยามหรือเรื่องราวธรรมชาติเหล่านี้ ผู้รู้ท่านแค่แยกออกมาให้เห็นเท่านั้น ว่ามันไม่ได้เป็นก้อนตัวตน เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเป็นวัตถุปัจจัยสิ่งของ
แต่มันคือธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นธรรมนิยาม ที่มันรวมกันอยู่ในธรรมชาติแห่งนิยามทั้งห้า
นี่เย็นแล้ว จึงขอสาธุอนุโมทนา ขอให้ทุกท่านที่ได้ฟังธรรมจากราวป่า มีดวงตาเห็นธรรมกันทุกคน
เหอๆๆ คุยซะยาวเหยียด รอน้องๆ มันขนหิน
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เข้าใจกาย ก็เริ่มเข้าใจธรรม ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง