ผู้มีปัญญา ย่อมเสมอศรัทธาด้วยสติ 1

ผู้มีปัญญา ย่อมเสมอศรัทธาด้วยสติ 1

958
0
แบ่งปัน

อันความเชื่อนี่ มันร้ายกาจแก่ใจเจ้าของมาก หากขาดปัญญาตรึกตรอง ความเชื่อนี่ เป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง ที่เหนียวข้น หากใครข้นมาก ก็ล้างออกยาก ลงได้เชื่ออะไรแล้ว มันจะถอดถอนยาก

นี่เป็นลักษณะอาการของจิต จิตมันปรุงของมันอย่างนี้ มันก็เหมือน ก๋วยเตียวชามหนึ่ง ที่เผลอใส่พริกจนเผ็ด น้ำที่เจือพริกจนเผ็ด มันเอาความเผ็ดออกไม่ได้ แต่เราเจือจางด้วยอย่างอื่นได้

มันไม่ใช่หมายความว่า ความเผ็ดมันลดน้อยลง แต่ความเผ็ดมัน โดนเจือจางด้วยรสอื่นนู่น ความเชื่อก็เหมือนกัน การที่จะถอดถอน มันถอดถอนไม่ได้ แต่มันสามารถเจือจางด้วยสติและปัญญา ที่สาวผลไปหาเหตุ ตามหลักแห่งอริยสัจได้

อุปาทานทั้งหลาย จึงไม่มีพิษสง ทำให้ใจดวงนี้ ต้องเร่าร้อนไปตามกระแส นี่ธรรมแห่งชาวพุทธ มันไหลเวียนมาเจือจางชะโลมใจอย่างนี้

ข้าเองไม่เคยเลย ที่จะไปเรียนไปสอบนักธรรม ไม่เคยเรียนนักธรรมตรี โท เอก หรือมหาเปรียญ ที่เขาวางหลักสูตรกัน เพราะสิ่งเหล่านั้น สำหรับข้า ข้าคิดว่าไม่ทันแน่ หากมามัวรอเรียนเพื่อเอาใบประกาศ อย่างใบปริญญา อย่างชาวโลกที่เขานับถือและมุ่งหวังกัน

ข้าว่า ข้าคงไม่ทัน หากเรียนจนเป็นมหาเปรียญ ก็คงได้ตายห่าซะก่อน จึงเข้าป่ามาหาธรรมความจริงในใจ ที่อาศัยป่า ที่สุด

ความรู้ในตำราทั้งหลายที่พากันร่ำเรียนนั้น ถึงได้รู้ว่า มันเป็นตัวอย่างหัวข้อของเด็กน้อย ในอนุบาลที่เขาเรียน กัน

พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ปรามาสธรรมตามตำรา แต่ตำราไม่สามารถพาใจดวงนี้ให้พ้นทุกข์ได้ หากไม่มีผู้รู้ชี้ ภาวะกาลที่กล่าวตามหัวข้อแห่งธรรมได้ มันก็กลายเป็นแค่เครื่องมือพุทธ แต่ใจไม่เข้าถึงพุทธได้เลย

มันเป็นพุทธแค่ความรู้ แต่ไม่รู้ความเป็นพุทธ ใจมันไม่เป็นพุทธไปตามความรู้ ไม่ใช่ว่า ไปนั่งๆ นอนๆ ยืนๆ เดินๆ 5 วัน 10 วันแล้ว บอกว่านี่คือการปฏิบัติ ไม่ใช่อย่างนั้น แม้จะใช่ในความหมาย แต่มันไม่ตรงเป้าหมาย เอาซะเลย

ความหมายแห่งพุทธะ หรือพุทธิ หรือพุทธนี้ คือปัญญา ปัญญาอันเป็นเครื่องแสดงออกมา อาศัย ศีลและสมาธิ ตำราทั้งหลาย ก็เอาออกมาจากใจดวงนี้แหละ ไม่ได้ไปเอามาจากที่ไหน

ตำรามีเท่าไหร่อ่านกันมาเหอะ ตอบใจที่ค้นลงไปถึงต้นตอแห่งเหตุไม่ได้หรอก เพราะตำรานั้น มันเป็นผล รู้แค่ไหนมันก็คือผล การสาวผลไปถึงเหตุที่ลึกลงไป ด้วยกำลังใจ ทางกาย วาจา ใจนี่ซิ ถึงจะพอรู้เหตุ

การถอดถอน มันจะมีเพิ่มมากขึ้น เรียกง่ายๆ ว่า ใจมันโดนเจือจางในอุปาทานได้มากขึ้น จนถึงที่สุด มันก็กลายเป็นเผ็ด ที่ไม่เผ็ดให้เดือดร้อนใจเจ้าของอีกต่อไป

หากยึดตำรา ธรรมก็ไหลออกมาไม่ได้ มันนึกแต่เรื่องราวความจำในสัญญา พอแก่ตัวหน่อย มันก็ลืมเลือน ฉะนั้น หากยิ่งทำ มันก็ยิ่งเพิ่มพูนสะสมอุปาทาน แต่ก็ใช่ว่า งั้นไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้ก็ไม่ถูก

การจะเรียนหรือไม่เรียน จำหรือไม่จำ ทำหรือไม่ทำ รู้หรือไม่รู้ นี่เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตทั้งนั้น เราสร้างและปรุงแต่งยัดเยียดกันขึ้นมาเอง แต่เราก็ทำไปเหอะ ปัญญามันได้แค่นั้น

ทำไม่ทำก็ไม่เป็นไร เอาสติแค่ชี้ใจ ระลึกไว้ว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว สุดกำลังแก้แล้ว ให้ยอมรับ ว่ามันเป็นของมันเช่นนั้นเอง หยุดเสือกกับมันทุกอย่าง ยอมรับมัน แม้เจ็บปวด

แล้วถอยออกมาดูว่า ขณะนั้น เราเจ็บปวดจริงหรือเปล่า เราทุกข์จริงหรือเปล่า หากใจยังทุกข์ ให้สาวผลนั้นลงไปว่า ทุกข์นั้น มันเกิดตรงนั้นหรือเปล่า หรือมันเกิดไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ดับไปแล้ว แต่ใจตัวกูแม่งมันเสือกไม่ดับเองรึเปล่า

ถามใจดู ชี้ความจริงให้ใจมันเห็น หากคิดได้ และเห็นชัด มันจะเกิดอาการหนึ่งแห่งจิต เรียกว่า ปัญญา ปัญญาที่เกิดนี้ มันจะไปเจือจาง และลดความเข้มข้น แห่งอุปาทาน ที่ใจมันเร่าร้อนได้ นี่ เรียกว่าชาวพุทธ

คำว่าชาวพุทธนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะเขียนไว้ในทะเบียนบ้าน ศาสนานี้เป็นความเชื่อ ใครเชื่ออย่างไรก็ว่าไปตามความเชื่อนั้น

เป็นมนุษย์ที่มีปัญญา เอาปัญญามาเจือจาง อุปาทานความทุกข์ได้ หากเห็นความเป็นจริง ในกฏแห่งกาล

พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งความมีปัญญา เชื่อโดยปัญญาไม่ใช่เชื่อโดยความงมงาย แต่มนุษย์หลายท่านที่นับถือพุทธ เป็นชาวพุทธอย่างงมงาย ไม่ตรึกตรองสาวผลทั้งหลายไปหาเหตุก่อนที่จะเชื่อ

ชาวคริสต์ที่มีเหตุมีผล เข้าใจตรงตามความเป็นจริง นี่เรียกว่า ชาวพุทธนับถือคริสต์

ชาวอิสลามที่มีเหตุมีผล เข้าใจตรงตามความเป็นจริง นี่เรียกว่ส ชาวพุทธนับถืออิสลาม

โดยรวมแล้ว เหตุผลตื้นๆสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย มันก็เป็นเหตุเป็นผลตามธรรมชาติกันอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ลึกลงไปเหนือธรรมชาติของคนทั้งหลาย ทั้งๆที่มันก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

แต่ผู้คนทั้งหลายกลับมองไม่เห็น นี่ หากเกิดมีมนุษย์คนใดคนหนึ่งมองเห็นขึ้นมา ตรงตามความเป็นจริง ตรงนี้จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญาที่เรียกว่า ถึงภาวะแห่งพุทธิจิตโดยสมบรณ์

เรามีปัญญาอันเป็นพุทธิจิตกันรึเปล่า

หรือเราเป็นชาวพุทธกันแค่เพียงทะเบียนบ้าน ที่เขายัดเยียดเขียนกันลงไปตั้งแต่แรกเกิด

บ่ายโมงซะแล้ว คนงานเขารอ หวัดดีหลายๆ เด้อ เพื่อนฝูงทั้งหลาย

พระธรรมเทศนา จากบทธรรมเรื่อง ได้ดี ต้องฝ่าความตาย ท่อนที่เจ็ด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง