ขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕

1013
0
แบ่งปัน

(เราคุยกันในห้องไลน์)

น้องเอ๋ย…การอยู่ร่วมกับคนในสังคม ย่อมต้องเผชิญกับความถูกใจและไม่ถูกใจ ที่ไหนๆก็เต็มไปด้วยเรื่องเช่นนี้เป็นธรรมดา.

การโดนนินทา เป็นธรรมดา. ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นธรรมดา. ชีวิตคนเรามันไม่ได้ยืนยาวอย่างที่เราคิด มันมีชีวตประคองอยู่ได้ แค่ลมหายใจเข้าออก

ไกลจากลมหายใจนี้ เป็นเครื่องปรุงใจ ให้มันไหลออกไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวตามบทละคอน ดูอย่างอื่นห่างไกล ดูลมหายใจ ดูได้ใกล้ที่สุด.ดูบ่อยๆมันจะเห็นอาการแห่งใจ

นี่…มันมองเห็นได้ลึกเข้าไปยังภายใน ดูไปบ่อยๆ ลมหายใจที่คิดว่าอยู่ใกล้ หยาบและไกลเกินไปซะแล้ว อาการแห่งใจที่มันไหลออกไปแสดงออก ดูไปบ่อยๆ ก็จะเห็นลึกและละเอียดลงไปอีกว่า ใจที่มันไหลออกไปแสดงทั้งหลายนี้ เป็นอาการของจิต จะเห็นชัดลงไปว่า จิตเป็นโรงงานเก็บเสบียงจากใจ

เมื่อเห็นโรงงาน ก็จะเห็นกระบวนการการทำงานที่มันปรุงกันขึ้นมา เมื่อปรุงแต่งตามรูปแบบแล้ว มันลำเรียงกันออกไป เพื่ออวดสินค้าที่มันมี และใจก็ไปยึดเอาสินค้าที่ลำเรียงออกมานั้น เป็นของใจ มันเลยเป็นใหญ่ ไม่ฟังใครเพราะมันคิดว่า มันเป็นเจ้าของโรงงาน. แต่ใจมันไม่เคยล่วงรู้กระบวนการ แห่งการผลิตเลย อะไรที่ไหลออกมา มันเป็นของกูหมด.

นี่เป็นกลไกของมัน ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้ ไม่พ้นเกินไปกว่านี้ มันเป็นของมันเช่นนี้ มันเอาสินค้าที่เป็นตัณหาผุดขึ้นมา ไหลออกมาไม่รู้จบนั้น เป็นของมัน ผลมันก็เลยทุกข์

ไม่มีใครเป็นเจ้าของตัวตนในกลไกของกระบวนการในโรงงานนี้เลย ใจมันเข้าไปเสือกเอง นี่คือธรรมดาของมัน ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ รู้เห็นธรรมดาเช่นนี้ได้จากการเฝ้าดู

มันจะเห็นจะรู้ กระบวนการจากนอกเข้ามาสู่ใน และจะเห็นกระบวนการจากในออกไปสู่นอก

ผู้เห็นกระบวนการเช่นนี้ เป็นผู้ที่สิ้นสงสัย สิ้นสงสัยในไรๆ ที่มันเป็นไปของกายและใจดวงนี้

นี่…เป็นชื่อของผู้ที่เห็นธรรม เห็นธรรมชาติที่เป็นธรรมดาตามเหตุปัจจัย เห็นความไม่มีใครไปเป็นเจ้าของ ในกระบวนการเหล่านี้เลย.

อุปาทานที่มันคาใจก็หลุดลอย กลายเป็นผู้สิ้นแล้วซึ่งอุปาทาน สิ้นเชื้อเพราะเห็นกลไกแห่งกระบวนการ

แต่เมื่อยังมีสังขาร มันก็ว่าไปตามกระบวนการแห่งใจ เป็นใจที่ไหลไปตามกระบวนการไม่ได้แตกต่าง จากการที่ยังไม่เห็น ที่ต่าง…คืออุปาทานไม่มีอยู่ในกลไกของกระบวนการนั้น

นั่นแหละ โลกุตรธรรมเป็นผู้ที่อยู่กับโลก แต่เหนือโลก. เหนือโลก เพราะเห็นกลไกการทำงานของโลกว่ามันเป็นอย่างนี้ ใจแท้จึงไม่ยึดติดกับโลก ที่โลกต่างเห็นว่าท่านเหล่านี่ยึดติด

เราเรียกมันว่า เงาใจ เงาใจเป็นตัวแทนแห่งใจเพื่ออยู่ร่วมกันในโลก มันเป็นสมมุติใจ ที่ใช้กับสิ่งใดๆที่เป็นสมมุติ

ผู้เห็นกลไกของกระบวนการ ย่อมเห็นชัดว่าทั้งหลายทั้งปวง ใจมันสมมุติขึ้นมา แล้วจะมีใจบ้าที่ไหนของใคร จะไปยึดสมมุติอันหาสาระและความจริงอันว่างเปล่า ที่ไม่มีค่าอะไร มาเป็นเครื่องดำเนินใจ…..คงไม่มีทาง.?!

กลไกนี้คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เราเริ่มตรงลมหายใจ…..!!!แล้วสอดส่องลงไป ในกาย รู้จักกายก็จะเห็น เวทนา รู้จักเวทนาก็จะเห็นจิต รู้จักจิต ก็จะเห็นธรรม รู้จักธรรมจะเห็นความจริงว่าทั้งหลายทั้งปวงแม้แต่กายนี้ มันก็เป็นของมัน เช่นนั้นเอง มีเวลาว่างๆก็ลองไปดูกัน สำคัญลืมตาขึ้นมาด้วย อย่าไปดูแบบหลับตา..