เรื่องเล่าผีๆ

เรื่องเล่าผีๆ

1034
0
แบ่งปัน

(ข้าจะเล่าเรื่องเมื่อเผชิญกับสิ่งแปลกๆให้ฟัง เรื่องนี้คุยกันในกลุ่มศิษย์ แต่กลุ่มศิษย์ที่อยู่ไกลก็อยากฟังด้วย)

สมัยก่อนตอนฝึกสมาธิ ข้าเคยฝึกอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม อยุธยาหลายปี. ฝึกอยู่กับพี่ดำ ตอนนี้แกตายไปแล้ว บางทีก็ฝึกอยู่คนเดียว ในศาลากรรมฐานหน้าพระอุโบสกเก่า สมัยอยุธยา 

ที่นั่นสมัยที่ข้าฝึกมันน่ากลัว ตรงที่นั่งฝึก เป็นสถานที่รกร้างเป็นป่าช้าเก่า ชาวบ้านเขาบอกว่าผีมันดุ ไม่มีใครกล้าผ่านเข้ามา ข้าฝึกอยู่เป็นปีๆ โดยไม่รู้ว่าที่นั้นเป็นป่าช้า ถ้าข้ารู้ คงไม่มีวันนี้ วันที่มานั่งคุยกันอยู่อย่างนี้ เพราะข้ามันเป็นคน ขี้กลัวผีอันดับต้นๆของโลก

แต่เมื่ออยู่ไปฝึกไป ความกลัวผีก็หายมันหายตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ใจมันอยากลองของ
เคยทราบข่าวมาว่า สมัยโบราณ เหล่าพระที่จะออกธุดงค์ จะต้องมาฝึกจิตในพระอุโบสกก่อน ช่วงกลางคืนท่านทั้งหลายจะเข้าสมาธิ ฝึกจิตภาวนากันอย่างเคร่งครัด ช่วงดึกๆ จะมีผีตัวหนึ่ง

นั่งห้อยเท้าบนขื่อเพดาน หัวมันจะยืดยาวลงมาและหลุด..! หล่นตุ๊บ!! กลิ้งขลุกๆๆๆกระแทกพระที่นั่งฝึกกรรมฐานอยู่

หัวผีกลิ้งไม่กลิ้งเปล่า ลิ้นมันแลบออกมาด้วยยาวเหยียด ฟาดไปตามหน้า ตามตัวพระ มีน้ำลายเปียกเเฉะกระจายไปทั่ว ท่านที่ทนได้ไม่สะพรึงกลัว ท่านก็นั่งนิ่ง ส่วนท่านใดใจยังไม่ตั้งมั่นก็แต๋วแตกร้องเสียงลั่น วิ่งกันน้ำบาน

สมัยนั้น หลวงพ่อเสือ ท่านเป็นเจ้าอาวาส และองค์ท่านเป็นอาจารย์ฝึกกรรมฐานให้ พระองค์ใดหากยังผ่านโปรแกรมนี้ไม่ได้ ท่านจะไม่ให้ออกไปธุดงค์ เพราะการธุดงค์ มันต้องเผชิญกับสิ่งเร้นลับยิ่งไปกว่านี้นับไม่ถ้วน

ส่วนพระรูปใดมีสภาวะจิตตั้งมั่น ท่านทรงอนุญาติ ข้านี้ทราบข่าวมาเช่นนี้ ก็อยากลองดูมั่ง เมือฝึกจิตมาเป็นปีๆ

สมัยนั้นวัดประดู่ช่างน่ากลัวนักหนา แต่ใจข้าเมื่อฝึกมาถึงจุดหนึ่ง มันกลับอยากลองของ ใจมันอยากเจอผีอย่างนี้บ้า

จึงแอบเข้าไปนั่งตอนดึกๆ เข้าใจว่าผีคงทานข้าวเสร็จ ดูทีวีเสร็จ เดี๋ยวมันคงออกมา

ในนั้นมืดสนิท และดูน่ากลัว มันวังเวงทะมึนและเย็นยะเยือก ใจห้าวๆตอนที่คิดกับตอนเข้าไปเผชิญจริงๆ เป็นหนังคนละม้วน
ยังคิดในใจเลยว่า รู้งี้กูน่าชวนพี่ดำเข้ามาร่วมด้วย ใจงี้ร้อนผ่าว ระรัว มือไม้เย็นเฉียบ แต่ความอยากลองมันมีน้ำหนักมากกว่า เหมือนๆกับว่า ร้องไห้ปาดน้ำตาไปด้วย แต่ใจก็ยังอยากลองด้วย และไม่เข้าใจตัวเองว่าทำทำไ

สะกดใจก้มลงกราบองค์พระในอุโบสก ความจริงเขาเรียกวิหารร้าง จุดธูปขอขมา นั่งกรรมฐานในสถานที่นั่น เพื่อเป็นการเจริญสติ สวดมนต์สมาทานศีลเสร็จ นั่งนิ่งเลย นั่งอยู่นานหลายชั่วโมง กะในใจว่า ถ้าไอ้ผีตัวนั้นถอดหัวหล่นตุ๊บกลิ้งลงมา ข้าจะตะครุบหัวมันไว้ และจะนำมันออกไปเก็บไว้ในตู้โชว์

ข้างี้นั่งรอจนเมื่อย มันก็ไม่หล่นลงมาซักที จนดึกโข ก็ขับรถกลับบ้าน รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ตอนเช้าได้คุยกับพี่ดำ เล่าให้แกฟังแกบอกว่าในวิหารนั้นน่ะมี
หลวงตาเหลียง ยังโดนถีบออกมาสติเกือบบ้า อีกคนเอาลูกประคำไปนับนั่งท่องอิติปิโส ลูกประคำขาดกระเด็น วิ่งถอยออกมาไม่ทันเหมือนกัน แต่ข้านี้ ไม่โดนอะไร ทั้งๆที่ใจมันก็อยากโดน

นี่ใจที่ฝึกกรรมฐาน เมื่อถึงจุดหนึ่ง ใจมันห้าวหาญ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แม้สัญญาความกลัวจะมีอยู่ก็ตาม มันก็ยังอยากลองของ

พอผ่านตรงนั้นได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใจก็ยิ่งฮึกเหิม อยากลองกับเขาไปทั่ว ที่ไหนดุที่ไหนเฮี้ยน ข้าก็จะไปลองดูละ ในที่สุดข้าก็เจอดี จิตดวงนี้แทบบ้า มันหลอนกันถึงขั้นหมายมั่นจะเอาชีวิต

แล้วก็มาถึงคืนวันหนึ่ง เป็นคืนที่มีหลายท่านซึ่งเป็นรุ่นพี่ เป็นอาจารย์ขึ้นกรรมฐาน และมีอาจารย์ที่เป็นผู้หญิงมาจากอำเภอเสนา ได้มานั่งร่วมกันกัน ที่ศาลากรรมฐาน. เรานั่งกันไปได้พักใหญ่ จู่ๆข้าก็เกิดมีอาการขนลุก ขนพอง .

มันเย็นยะเยือกเข้าไปถึงไขสันหลัง อาการแบบนี้ข้าไม่เคยเป็มาก่อน แต่ก็ตั้งมั่นในกรรมฐาน สะกดใจไม่ให้หวั่นไหว หรือลืมตาขึ้นมาดู

มีความรู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่าง มันพุ่งออกมากระทบกับจิตภายใน และแล้ว เสียงกรี๊ด. กรีดร้องดังลั่นศาลา และคิดว่าคงกระจายเสียงดังไปถึงหน้าวัด มเหยงค์โน่นแหละ

พลังที่ส่งเสียงกรี๊ดออกมา มันแผ่ซ่ากระทบกับภวังค์ภายใน จนเห็นทางมโนจิตว่า ภวังค์ในความมืดที่เรานั่งหลับตา มันแตกกระจายสั่นไหวเป็นคลื่น ภาพที่มันมืด มันสามารถแตกกระจายออกมาเป็นคลื่นได้ มันน่าอัศจรรย์ใจ

แล้วเสียงร้องของผู้ชาย อ๊ากกกก….!!ดังลั่นขึ้นมา ข้านี้ตกใจตัวสะดุ้งโหยง แทบลอย ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ แต่ก็พยายามข่มใจ คนอื่นไม่รู้เป็นยังไง แต่ข้านี้แทบแย่

มันอยากลืมตาขึ้นมาดู มารับรู้ แต่กลัวกรรมฐานแตก เพราะรุ่นพี่ เขาได้เคยขู่เอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้นั่งนิ่งๆ แล้วเสียงหัวเราะห้าวๆก้องๆมีพลังมากๆ ก็สะท้อนดังขึ้นมา

ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียงของมันฟังดูสนั่นโสตประสาทมาก เสียงของมันหัวเราะที ข้างี้ตัวแทบกระเด็น นั่งแทบไม่ติด มันเหมือนเราโดนกระแทกด้วยพลังหนักๆ จนร่างเรายวบยาบ

มีเสียงพูดดังขึ้นว่า ฮ่าๆๆ พวกมึงมีอยู่กันแค่นี้เองรึ….ฮ่าๆๆ โหย… เสียงมันน่ากลัวมาก มันไม่เหมือนฟังลำโพง แต่มันก้องกระจายกระแทกเข้าไปถึงข้างใน

รุ่นพี่ชื่อกมน เล่าให้ฟังในช่วงขณะนั้นว่า เขาตกใจเสียงกรี๊ด เลยลืมตาขึ้นมาดู เขาบอกว่าเขาตกใจแทบช็อก จู่ๆอาจารย์ผู้หญิงที่มาจากเสนา แกลุกขึ้นนั่งคุกเข่า เอามือประสานกันสั่นพรับๆตั้งไว้บนหน้าผาก และตัวแกพองใหญ่ขึ้น

แกแปลงร่างเป็นผู้ชายร่างใหญ่ๆ ร่างนั้นหัวเราะและหันไปมารอบๆ และมันหยุดกึก จ้องมาที่พี่สมฤทธิ์ ซึ่งก็คือข้า กมนบอกว่า เขาหลบแทบไม่ทัน เพราะกมนเอาตัวข้าเป็นกำบังแอบดู ข้าเองก็ไม่รู้หรอก เพราะมั่วแต่ข่มจิตหลับตา คนอื่นๆ กระจายวง หลบกันไปคนละทิศคนละทางกันไปหมดแล้ว

ข้านี้มัวกลัวกรรมฐานแตก เขาพากันวิ่งน้ำบานกันหมดแล้ว ข้านี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ร่างนั้นจ้องมองข้าอย่างโกรธแค้น กมนว่า. และที่สำคัญ มันนั่งติดกะข้าด้วยซิ เกิดมันกระโดดกัดคอข้า เป็นบาดทะยักขึ้นมา ได้ลุกขึ้นเตะผีกระจาย .

ชายผู้แปลงร่างมาหันไปรอบๆ แล้วพยักหน้า บอกเสียงห้าวๆหนักๆว่า มีกันเพียงแค่นี้รึ เสียงพูดของมัน ทำเอาเราสะท้านไปทั้งร่าง

พี่สุรัตน์ อาจารย์ขึ้นกรรมฐาน ได้อัญเชิญ หลวงปู่รอดเสือ ประทับร่าง และได้พูดคุยกัน หลวงปู่ถามว่า “ท่านเป็นใครรึ” เสียงหลวงปู่เบา ละเอียด น่าฟังมาก

ร่างนั้นหัวเราะแล้วตอบว่า ” ฮ่าๆๆนี่ท่านจำเราไม่ได้รึ” หลวงปู่นิ่งๆแล้วถามว่า “แล้วท่านมาจากไหน มาทำอะไรที่นี่เล่า ที่นี่เป็นเขตแดนฝึกกรรมฐาน ท่านเข้ามาได้ยังไง”

เสียงมันตอบว่า ” ข้ามาจาก อโยธยา ข้ามาตามฆ่ามัน.!,” แล้วหันชี้มาทางข้า กมนเล่า.”มันทำให้ข้าแค้นนน …!! ข้ามาตามล่ามัน มันนั่งอยู่ตรงนี้ ข้าเจอมันแล้ว ฮ่าๆๆ”

แล้วมันกับหลวงปู่ก็นั่งตกลงกัน และดูเหมือนคุยกันถูกคอ หลวงปู่ได้ให้โอวาท อะไรอีกมากมาย แต่ข้านี้โดนตรึงด้วยพลังอะไรบางอย่าง จนกระทั่งได้ยินเสียง หลวงปู่รอดเสือ เป่าเสียงดังสนั่นลั่นศาลา ร่างนั้น กมนบอกว่า

มันหล่นตุ๊บลงไปกองที่พื้น แล้วร่างค่อยๆหดมาเป็นอาจารย์ผู้หญิงคนนั้น เสียงกระแทกพื้น ดังสนั่นข้าได้ยินถนัด ขนงี้ลุกตั้งซู่เลยทีเดียว

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ครู่ใหญ่ๆ ข้าก็แผ่เมตตาจิต ถอนกลับมานั่งลืมตาเฉยๆ ในความมืด ในห้องกรรมฐานไม่มี ใครซักคน

ทุกคนย่องออกไปคุยซุบซิบอยู่ข้างนอก ข้าตามออกไป ถึงรู้ว่าเขารอข้ากันอยู่ พวกเขาเข้าใจว่า พลังจิตข้าสุดยอด.

สามารถต้านทานพลังงาน จากดวงวิญญาณแรงๆได้ จริงๆแล้วข้าไม่รู้เรื่องเลย นี่ถ้ารู้ว่า พวกหนีออกมาอยู่นอกห้อง ข้าคงได้วิ่งกันตับแล๊บ.!

ต่อจากนั้น ข้าเองต้องเผชิญความปั่นป่วนทางจิต จนแทบบ้า เรียกว่าข้าบ้าไปเลยดีกว่า มันมาเล่นงานข้าทุกวัน แทบหายซ่า กรรมฐานแตกกระจาย กลัวผีกลัวความมืดไปเลย. มีโอกาศ ข้าจะเล่าให้ฟังอีก….