จิตล่องลอย

จิตล่องลอย

1137
0
แบ่งปัน

ศิษย์ : ตอนนั่งสมาธิจิตดิ่งเห็นจิตตัวเองเป็นดวงแก้วใส

ลอยไปลอยมา แล้วออกไปอยู่นอกอวกาศ เจ้าค่ะ
คิดว่าเป็นอวกาศ เพราะมีดำๆมืดๆ และมีดวงใสๆๆ
หลายๆดวงเต็มไปหมดเจ้าค่ะ
กลัวว่าตัวเองจะหลง หรือผิด

พระอาจารย์ : ข้าจะอธิบายให้ฟัง
มันเป็นอาการของจิตปรุงแต่งหล้า ไม่ผิดและไม่หลง ถ้ามีผู้ชี้

สมัยหนึ่ง ข้านี่ นั่งสมาธิแล้วเห็นภาวะตนเองอยู่เบื้องหน้า
มันเห็นว่า ตัวข้าเองมันเป็นร่างที่โปร่งใส
แต่สติข้านี้พร้อมมูล

ข้าถามใจตนเองว่า ถ้านี่ที่เห็นเป็นตัวข้า หรือเป็นดวงจิตข้า
แล้วใครเล่าที่เป็นผู้เห็น
นมันเกิดข้อสงสัยมาอย่างนี้

ที่เกิดข้อสงสัย เป็นเพราะว่า ข้าเห็นสิ่งเหล่านี้จนบ่อย ถามรุ่นพี่ รุ่นพี่บอกว่า มันเป็นดวงจิตของเรา

นี่ เมื่อมันเห็นบ่อยขึ้น ความตื่นเต้นยินดีมันก็เป็นการเฝ้ามองเฉยๆ
มันมองรูปตัวเองจนมันรวมตัวเป็นแก้วใสๆ
ลอยเด่นอยู่ในภวังค์จิต

พอมันรวมเป็นแก้วใส ข้าก็ถามรุ่นพี่อีก
เขาก็บอกว่า นั่นแหละมันคือดวงจิต

ข้านี้โง่อยู่อย่างนี้ เพราะเข้าใจว่าเป็นดวงจิตอยู่ราวๆ 5 ปี

ดวงแก้วใสๆที่ผุดขึ้นมานี่ มันเป็นอาการปรุงแต่งของจิต ไม่ใช่ดวงจิต
บางที่มันก็พุ่งขึ้นนู่เลย นอกโลกโน่น
มันพุ่งไปไหน ข้าก็ตามไปกับมันด้วย

เห็นดาวเห็นโลกชัดเจน
ยังความแปลกใจให้แก่เจ้าของคือตัวข้ายิ่ง

อยากไปดาวโน้นอยากไปดาวนี้ มันไปได้หมดแหละ
ไอ้ดวงกลมนี้ มันพุ่งไปตามที่ข้าต้องการ

จะบอกว่าดวงกลมนี้มันเป็นเรา มันก็ไม่ได้
เพราะเรามันตามดวงกลมดวงนี้อยู่
เพียงแต่เรามันไม่รู้อยู่ไหน

แต่บางที ดวงกลมมันก็หายไป
กลายเป็นเราเสียเองนี่แหละ ที่ไปตามใจของเราเอง

พอถามรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็ตอบไม่รู้เรื่อง บอกว่าข้านี่ฟุ้งซ่านไปเอง

อาการอย่างนี้ มันเป็นอาการปรุงแต่งทางจิตน่ะหล้า
มันเป็น จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ข้าเองเอาดวงกลมใสนี่แหละ เป็นที่ตั้งแห่งใจ
เวลาดูสีจิตตัวเอง

ดวงกลมนี้ มันสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ สีอะไรก็ได้
จะบอกว่า นี่เป็นจิตเรามันก็ไม่ได้
มันเป็นสมมุติอย่างหนึ่งที่ใจมันปรุงขึ้นมา

อาการของแกที่เป็น จะว่าไปมันเป็นอาการปิติปรุงแต่งอาการหนึ่ง
อาการเหล่านี้ มักเกิดกับพวกจริต ฉฬภิญโญ
คือพวกบ้าฤทธิ์
หากทำจนคล่อง ก็จะได้มโนยิทธิเต็มกำลัง

ข้าเองเคยเพ่งแก้วกลมใสนี้ ขยายก็ได้หดเล็กเหมือนอยู่ใกลๆเท่าปลายเข็มก็ได้
ทำความรู้สึกพุ่งเข้าไปในแก้วใสก็ได้

อยากรู้อะไรอยากเห็นอะไร อธิฐานและดูในแก้วใสก็ได้
เปลี่ยนแก้วให้เป็นรูปอะไรที่ต้องการก็ได้
มันก็เป็นไปอย่างที่เรานึก

แต่ทั้งหมดนี้ เชื่อข้าเหอะ จิตมันปรุงทั้งนั้นแหละ มันเป็นภูมิจิตอยู่ในขั้นอารมณ์ปิติ
มันเป็นอุปกิเลสอย่างหนึ่ง ที่ดึงใจเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้า

เมื่อเห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา
ไม่นานจิตมันก็จางคลายเบาบางไปเอง
ความสุขอิ่มเอิบที่เพ่งแก้วใสก็เข้ามาแทนที่

ถึงขั้นนี้ แก้วใสมันก็จางหายไป
มันอิ่มเอิบแปลกและไม่รำคาญหรือรู้สึกกับสิ่งใดๆ

ใจข้ามาติดกับอาการตรงนี้อีก
กว่าจะหลุดไปสู่ความว่างเปล่าที่เหลือแต่สติลอยเด่นอยู่เป็นอุเบกขา มันใช้เวลานานโข
แต่พอมันเข้าสู่อุเบกขาได้ มันก็คล่องของมันอีก
มันไม่สงสัยอะไรไอ้ที่ผ่านๆมา

มันรู้ของมันอย่างไม่สงสัยด้วยตัวมันเองเลยว่า
สิ่งทั้งหลายที่มันมีที่มันเป็น มันเป็นแค่ อาการแห่งจิตที่มันปรุงแต่งของมันไปตามจริตสัญญาของมันอย่างนั้นแหละ

ข้าก็วางอาการต่างๆลงได้
มันจะเป็นอะไรก็ไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่
และพอรู้แล้ว มันก็ไม่ค่อยเกิดอีกซะด้วย
มันไปเกิดมโนทางกายแทน
เช่นตัวพองจนแตก โพล๊ะ

ข้านี่ แตกมาแล้วตอนนั่งสมาธิ
แต่คืนนี้ขี้เกียจเล่าแล้ว

อาการของเจ้าหล้า มันเป็นธรรมดาของอาการแห่งจิต
การทำสมาธิ จิตย่อมปรุงแต่งของมันเป็นธรรมดา

หากเรารู้จัก และเข้าใจอาการของมัน
เราจะตามดูก็ได้ หรือจะเพิกกลับมาอยู่กับอารมณ์เดิมก็ได้

แต่อาการเหล่านี้ พวกที่ต้องผัสสะอยู่ในเมือง
มักจะเกิดขึ้นยาก
พอเกิดขึ้นมา หากเข้าใจว่าตนเองได้ฌานรู้เห็นขึ้นมา มันก็จะจมอยู่แต่การรู้เห็นนั้น
มันไม่ไปไหนมานะก็จะท่วมท้นใจ

เพราะมันจะดำเนินไปในทางแห่งทิพย์จักษุญาน
เห็นนั่นเห็นนี่ไปเรื่อย

เพียงแต่ว่า สิ่งที่เห็น มันไม่ใช่อะไรจริงๆมันก็เท่านั่นเอง
แต่ก็ทำไปเหอะ ไม่ผิดหรอก มันเป็นอาการของจิตเป็นธรรมดา
น้อยคนที่จะรวมเป็นจิตขึ้นมา แล้วพุ่งออกไปอย่างที่หล้าเข้าใจ
คืนนี้โอเคนะ หวัดดี

ศิษย์ : แล้วต้องทำยังไงต่อเจ้าคะ พระอาจารย์
ซึ่งอาการแห่งจิตนี้ ใช้ในวิชชาหมอดูด้วยเจ้าคะ
กลัวเหมือนกันว่าจะติดในฌาณรู้เจ้าค่ะ
แล้วถ้าจิตติดดาว จะทำยังไงเจ้าคะ
ถอดออกยากซะด้วย เจ้าค่ะ
เรื่องดวงจิต เป็นแก้วของหล้ามีมานาน
แต่ที่สงสัยคือ
ครั้งแรกที่ไปเห็นดวงดาวในอวกาศ
แล้วพอจ.ชี้ตรงที่ทำเป็นวิปัสสนา แค่ให้เห็น
และรู้ว่าเห็น แล้วเพิกเฉย

พระอาจารย์: เรื่องจิตนี่ มันเป็นธรรมชาติที่ลึก
เรามันไม่รู้เองว่า ทำไมต้องพุ่งขึ้นไปเห็นดวงดาว

ที่จริงมันไม่ได้พุ่งไปไหน จิตมันไม่มีตา
มันมีแต่บันทึกและปรุงแต่งขึ้นมา

ที่เราเสพอาการ มันเสพด้วยสติ
พอออกจากภวังค์ มันก็เลยจำได้
สติมันระลึกได้ในอาการแห่งการปรุงนั้น

ข้านี่ แรกๆ ไปนั่งอยู่บนดวงดาวตั้งหลายครั้ง
นึกให้เป็นเมืองมันก็เป็นเมือง
มันเป็นได้ทั้งนั้น ตามที่เราใส่ความรู้สึกเข้าไป

เพียงแต่แรกๆนี่ มันปรุงของมันเอง
มันอาศัยผัสสะที่มันกระทบนั่นแหละทางภาพ มันปรุงแตกออกไปเรื่อย

หลวงปู่มั่นท่านก็เป็น พวกจิตโลดโผนเป็นกันเกือบทุกราย
แต่ผู้รู้เท่าทัน ท่านเปลี่ยนอิริยาบทซะ
เพราะจิตเรามันห้ามไม่ให้ปรุงนี่ ห้ามไม่ได้

แต่เรารู้เท่าทันมันได้ หากต้องการมรรคผล ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
มันจะเป็นก็เป็นไป
ห้ามไม่ได้ มันเรื่องของจริตจิต
เปลี่ยนไปเดินจงกลมหรือวิปัสนาด้านอื่นแทน

นี่ว่าถึงคนที่ปราถนาพ้นทุกข์ และปลีกวิเวก
พวกเราเอาแค่นั่งตัวลอยออกไปนอกโลกได้นี่ ก็โอเคแล้ว
ทำๆไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก

ที่สุดมันก็รู้ด้วยตัวเราเองนั่นแหละ ว่ามันปรุงแต่ง แต่ถ้าโง่ มันก็ภูมิใจของมันจนตายเหมือนกัน
ไม่เป็นไรๆๆๆ ไม่พรือๆๆ
หวัดดีเป็นครั้งที่สอง

พระธรรมเทศนา ในห้องธรรมเส้นตรง โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 15 มกราคม 2558