เราคืออาการแห่งใจที่เนื่องมาจากจิต

เราคืออาการแห่งใจที่เนื่องมาจากจิต

1003
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณยามเช้า ขอให้ร่ำรวยและเจริญยิ่งๆ ขึ้นกันทุกคน

อากาศยามเช้าที่นี่หนาวสะท้านกระดูก เพราะมีลมพัดตลอด

ใครมาช่วงนี้ต้องดูแลตัวเองหน่อย ป่วยเอาง่ายๆ

หากนั่งมองจากจุดนี้ไปเบื้องหน้า จะมองเห็นภูเขาท้องฟ้าและผืนน้ำ นี่ ตามันมองเห็นอยู่ และยืนยันได้ด้วยความชัดเจน

แต่บางสิ่ง มันหายลับไปกับสายตา แม้มองไม่เห็น แต่มันก็ยังยืนยันชัดเจนที่ใจดวงนี้ ตรงนี้แหละพี่น้องเอ๋ย ที่ทำให้เราหลงไปกับสิ่งที่ใจมันยืนยัน

หากวางใจผิด มันก็เป็นวัชพืชที่รกใจ หากวางใจถูก มันก็แค่เครื่องหมายที่ไม่มีตัวตน

บางคนทุกข์ใจมาก ก็เลยมาหา มานั่งเศร้าสร้อยเสียใจ สูญเสียกำลังใจให้กับเรื่องเลวร้าย

ข้าถามว่า เห็นภูเขานั่นไหม?

เธอบอกว่าเห็น

เห็นท้องฟ้า แผ่นน้ำ เหล่าสัตว์ที่มันเริงร่าไหม?

เธอพยักหน้า แต่หัวใจเศร้าหมอง

ข้าถามว่า มีอะไรที่มองเห็นมันมาทำร้ายใจได้บ้าง?

เธอส่ายหน้าและเหลือบขึ้นมอง ทำหน้าสงสัย

นั่นซิ แล้วแกมานั่งเศร้าทำไม บรรยากาศดีๆ โดนหน้าแกทำลายเสียบรรยากาศหมด

ภูเขานั่นทำให้แกทุกข์หรือ

“เปล่า”

ต้นไม้หรือ แผ่นน้ำหรือ ท้องฟ้าหรือ

“เปล่า”

นี่โง่ กับสิ่งที่ยืนยันมองเห็นกับตา ได้ยินกับหู ผัสสะกับความจริงอยู่ ปัจจุบันมันไม่เห็นจะมีอะไรมาทำลายให้ใจเป็นทุกข์ซักหน่อย

มีแต่ใจแก ที่บ้าเอาอดีตอันเลวร้าย ที่มันเป็นอากาศ ที่มันมองไม่เห็นด้วยตา

มาเป็นไฟ แผดเผาหัวใจทำลายใจที่อยู่กับปัจจุบัน ให้มันไหม้เกรียมไปเพราะความโง่ของเจ้าของใจ ที่มองไม่เห็นความสุนทรีย์เบื้องหน้า

แต่กลับไปเห็นความทุกข์ระทมไม่ได้ดั่งใจ ในสิ่งเลวร้ายที่เป็นอากาศ

เศร้า เครียด น่าผิดหวัง มันก็ผ่านไปแล้ว จุดไฟขึ้นมาเผาใจเราอีกทำไม

อยู่สบายๆ เสพอารมณ์ปัจจุบัน มองธรรมชาติที่ไม่ให้โทษภัยกับสายตาใคร

ทำไม คนเราถึงได้โง่ที่เลือกสิ่งเลวร้ายที่ผ่านไป มาทำลายปัจจุบันที่มันไม่ได้ทำลายใจใครเลย

เครียด มันก็เกิดไปแล้ว ไม่เครียด มันก็เกิดไปแล้ว

เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ถ้าเลือกและคิดไม่เป็นอีก ตายไปก็จะเกิดเป็นสัตว์อย่างแน่นอน

ลูกศิษย์ : กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ ได้อ่านข้อธรรมของพระคุณเจ้าทุกๆ วันทั้งธรรมที่แสดงไว้นานแล้ว หรือพึ่งแสดง เข้ามาอ่านกี่ครั้งมันก็ยังใหม่อยู่เสมอ

ยิ่งด้วยการพิจารณาตามในหัวข้อ ธรรมนั้นๆ ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ยิ่งอ่านหลายรอบเท่าไหร่ ความเข้าใจก็จะมากขึ้นตาม

เกิดมาผมชอบเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา ชอบตั้งคำถามตั้งแต่เด็กๆ พอตั้งคำถามขึ้นมาอันมูลเหตุจากที่เราเห็นแล้วเราเอามาปรุงต่อ มันก็เกิดคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม

กลายเป็นการที่เอาตัวเราไปแบกกับสิ่งเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ

จนมาถึงปัจจุบันนิสัยเดิมก็ยังเป็นอยู่ มองเห็นอะไรไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามข้อกฎหมาย หรือระเบียบ ใจมันก็คอยจะเพ่งโทษคนอื่นอยู่เรื่อย

หลังจากที่ได้อ่านธรรมมะ ที่พระคุณเจ้าได้แสดงในหลายหัวข้อ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ทำให้ใจนิ่งไม่แบกทุกข์มากเหมือนแต่ก่อน

ขับรถมาทำงานตอนเช้า เจอรถวิ่งย้อนศร รถบรรทุกขับเลนส์ขวา เจอที่ไม่ถูกต้องก็ขับรถผ่านมา ไม่เอาใจเราไปวางที่ถนน แค่ขับผ่านมามันก็จบ

มันใช้ได้ผลครับ กับการคิดเป็น การวางใจของเราเป็นขอกราบในธรรมของพระคุณเจ้าครับ ไม่ต้องนั่งหลับตาให้มาก หากเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง กราบ สาธุๆๆ ครับ

พระอาจารย์ : ขอเป็นกำลังใจ Meena Mana

ธรรมทั้งหลายนี้ แค่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนี้

ที่ชี้ เพราะใจมันเห็นมาด้วยเหตุด้วยผล ของธรรมชาติเช่นนี้

ไม่ได้ชี้ด้วยเหตุด้วยผลของการปรุงแต่งและคิดเอาเอง

ธรรมก็คือธรรม มันย่อมมีเหตุมีผลรองรับธรรมอยู่เสมอ

หากพูดแค่ผลแต่ไร้เหตุ มันก็ไม่ใช่ธรรม

ผู้มีปัญญา ท่านก็จะเห็นธรรม ส่วนผู้ที่ด้อยปัญญา ก็จะสงสัยธรรมที่แสดง

เรามักจะขี้สงสัยผู้อื่น ถ้าหากเรากลับมา ขี้สงสัยใจตนเอง ที่ชอบขี้สงสัยผู้อื่นบ้าง

ท่านผู้นั้นก็จะเห็นธรรมแห่งความคลายขี้สงสัยได้ ไม่มากก็น้อย

ลูกศิษย์ :

“ไปยืนหน้ากระจก แล้วหนีเงาเราซิ ถ้าหนีได้ ผัสสะก็หนีได้”

อันนี้คมมากครับ ผมเห็นว่า ไอ้ที่เราเป็นๆ กันอยู่นั้น ไม่ว่าอารมณ์อะไร ไหนๆ ที่เป็นอาการตรงใจนี่ ที่เราเสวยอยู่นี่ก็ มีผัสสะเป็นเหตุทั้งสิ้น

แต่ที่เป็นใจแล้วนี้ มาผ่านขวนการมาเสร็จสับแล้วทั้งนั้น จะโกรธ จะเกลียด จะชอบ ไม่ชอบ จะสุข จะทุกข์ ดีใจ เสียใจ

ล้วนผ่านกระขวบการแห่งนามขันธ์มาสมบูรณ์พร้อมที่จะแสดงออก มาเป็นความรู้สึกเรียกว่าเวทนา

แต่นั้นแหละครับ อารมณ์ใจนี้มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ไม่มีใครไปทำให้แสดงตัวขึ้นมา มันเกิดของมันเอง ตามเหตุปัจจัยแห่งผัสสะ

ไอ้เราก็แค่เข้าไปเป็นเจ้าของอาการเท่านั้นเอง ยิ่งถ้าไม่รู้จัก นามขันธ์อย่างแท้จริง มันก็ต้องเข้าไปเป็นเจ้าของอาการอยู่ดี

ถึงจะรู้จัก แต่อดไม่ได้ เพราะอุปทานเป็นเหตุ อุปทานก็เกิดมาจากความเห็นนี่แหละครับ ความรู้สึกทั้งหลาย ที่เรารู้สึก มันเกิดของมันเองตามเหตุปัจจัยที่จิตแสดงออกมา

เป็นอาการของใจ ตามความเคยชิน เเล้วเราไม่เข้าใจ คิดว่าเราเป็น อาการเหล่านั้น

อาการเหล่านี้จะแตกต่างกันออกไป ตามวิบากของจิต แต่ผู้ที่มีสติเฝ้าดู จนเคยชิน มันจะรู้ชัดว่า มันไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่ได้เป็น และไม่ได้ทำให้มันมี

เพราะความคิดเห็น ที่เรามักใส่เข้าไปนี่แหละครับ อาการถูกใจ ไม่ถูกใจ ก็เลยเกิด

แต่หากผัสสะแล้ว ให้มีสติเฝ้าตามดูไว้เฉยๆ แต่อย่าสร้างอย่าสร้างอารมณ์ให้ไหลไปตามกระแส ผลก็ไปอีกแบบ

ตรงจุดนี้ท่านถึงบอกให้เรา มาดูเรา สงสัยเราแทน ให้มากกว่าไปดูคนอื่น หากเข้าใจตรงนี้ ก็จะได้รู้ ว่าที่เราหรือเขาที่เป็นๆ กันนั้น มันก็เหมือนกัน

ไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่นเขา เพราะมันก็เหมือนกัน ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ สาธุธรรมครับผม

เข้าใจธรรมชาติ ของความเป็นกูขึ้นมาได้ ก็เข้าใจอะไรๆ อีกหลายๆ อย่าง เพราะทุกอย่างมีขึ้นมาได้ ก็เพราะมีกู นี่แหละครับ มันอยู่ที่เราตั้งใจดูมันหรือป่าว

พระอาจารย์ : บ่าวต้น มันมีภาษาเข้าใจอารมณ์ธรรมชาติดีมากกว่าแต่ก่อนเยอะ

ธรรมชาติของจิต มันเป็นดั่งเงาในกระจกนั่นแหละ หลบอาการมันไม่ได้ มันย่อมแสดงไปตามเหตุที่มันปรุง

ทีนี้ไอ้ผู้ดูนี่ มันดันไปเอาเงาที่แสดงว่ามันเป็น จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่เงาที่สะท้อนอาการออกมา

เมื่อหลงเงาคิดว่าเราเป็น มันก็ยึดเงาละทีนี้ เพราะยึดเงาโดยไม่รู้ว่าเป็นเงา เจ้าของก็เลยแสดงตัวในความเป็นเงาเสียเอง

เรียกว่าหลงเงาที่ตัวเป็น นี่ “ อุปาทาน “

การได้อ่านได้ฟังธรรมจากผู้เฒ่าบ่อยๆ ไม่นานทุกคนก็จะเข้าใจ ในอาการแห่งจิตที่คิดว่าเป็นเรา ทุกคนเข้าใจได้ เมื่ออ่านทวนบ่อยๆ

ธรรมนั้นไม่มีกาล หากอ่านและพิจารณาซ๊ำๆ ภาชนะแห่งการรองรับธรรมยิ่งกว้างใหญ่ ธรรมะนั้น ยิ่งอ่านซ๊ำยิ่งเข้าใจลึกลงไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกันนั่นแหละ

อ่านธรรมแบบรูดพรืดๆๆๆๆ แล้วบอกว่าอ่านแล้วนี่ “โง่ ”

อุปสรรคสำคัญยิ่งของการบรรลุธรรมก็คือ กูรู้แล้ว มีกูรู้แล้วเมื่อไหร่ ทะลุธรรม ธรรมรั่วออกไปหมด

ขอเป็นกำลังใจให้แก่บ่าวต้นเป็นเจ้ของสวนปาล์มแสนไร่
ข้าขอแค่คนมันพอเข้าใจในความเป็นจริงซักสองสามคน แค่นี้ก็ถือว่าเป็นกุศลที่ได้เกิดมาแล้ว ชี้ทางสว่างให้แกผู้อื่นได้

ชีวิตนี้ขอแค่เปิดดวงตารักษาให้คนเห็นธรรมได้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนให้มีดวงตาเห็นธรรม
แค่เรียงร้อยภาวะธรรมได้ มองเห็นรอยปริแตกแห่งตัวตนที่เป็นก้อนๆ ว่ามันมีองค์ประกอบย่อยอยู่ในก้อนแห่งตัวตนได้

ขอให้เห็นความจริงแค่นี้ให้ได้ก่อน ว่าไอ้ตัวตนก้อนนี้ จริงๆมันไม่ใช่เป็นก้อนๆ

แต่มันเกิดจากเหตุปัจจัยแห่งองค์ประกอบ กายส่วนหนึ่ง โปรแกรมทำให้เกิดอาการส่วนหนึ่ง

ผู้รู้ส่วนหนึ่ง และผู้ดูผู้เห็นอีกส่วนหนึ่ง

มันแค่มารวมกันเป็นก้อนๆ

เพียงแค่ไม่หลงก้อนแห่งตัวตนนี้ได้ ข้าก็สาธุคุณในกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว

ลึกกว่านั้น ให้เข้าใจสมมุติขึ้นไปอีกว่า จิตก็อย่างหนึ่ง ใจก็อีกอย่างหนึ่ง

หากแยกจิตแยกใจกันออกได้ นี่ ก็จะเข้าในอาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับความมีตัวตนได้ดียิ่งขึ้น

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง อารมณ์เปรียบดั่งไฟ ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง