พระนอกรีต กับพระในรีตเขาเห่ากัน

พระนอกรีต กับพระในรีตเขาเห่ากัน

1786
0
แบ่งปัน

คึกฤทธิ์ ๒ เกิดขึ้นอีกแล้ว พระศาสดาองค์ใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว พิจารณาให้ดี ๆ อีกทีนะ ทบทวนคำสอนของพระอาจารย์ของพวกคุณให้ดี

ค้นดูหลักทางพระวินัยให้ดีว่า มีที่ไหนบ้างที่พระพุทธเจ้าตรัสให้มีโยนิโสก่อน จึงล่วงพระวินัย คือ จะตัดหญ้า ต้องมีโยนิโสก่อน ถ้าเจอ นำมาลงให้ฉันดูซิ

ฉันจะได้กลับไปเรียนใหม่ เรื่องธรรมวินัยนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คิดเดาเอาตามชอบใจไม่ได้

ฉันต้องการหลักฐาน ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในเรื่อง ตัดหญ้า ต้องมีโยนิโสก่อน อย่าลืมเอามาลงนะถ้าเจอ

บอกที่มาด้วยว่า อยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฏกเล่มไหน หน้าไหน เพราะพระไตรปิฏกนั้น คือ หลักฐานที่จารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้

พระอาจารย์ : เป็นถึงมหานี่ มันก็มหาโง่ได้เหมือนกัน

นี่โง่เพราะบ้าหลักฐาน โง่เพราะบ้าตำรา โง่เพราะไม่ตรองธรรมให้ดี

นี่ท่านมหาไม่เคยเรียนมารึไง ในวลีง่ายๆ ว่า

พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เดินก็รู้ เหลียวก็รู้ เหยียดก็รู้ กินก็รู้ ให้ทำอะไรก็รู้

ที่รู้นี้หมายถึงการทำอะไรให้มีสติ

การทำอะไรโดยไม่มีสติ มันคือการทุศีล

ที่ทุศีลเพราะมันขาดความสำรวม

ที่ขาดความสำรวมเพราะมันขาดสติ

ที่มันขาดสติ เพราะมันขาดการโยนิโส

เหตุบางอย่างมันจำเป็นต้องทำ จะเพราะเนื่องด้วยสังคม หรือผู้คนอะไรก็แล้วแต่

มันจำเป็นต้องโยนิโสไว้ก่อน นี่ มีมาในธรรมบท นักธรรมมันก็ควรรู้กันทั้งนั้นแหละ

การพรากของเขียว เช่นการตัดหญ้า นี่ มันอาบัติแน่

แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อหญ้ามันรก หรือวัดท่านจะปล่อยให้มันรก เพราะอ้างพระธรรมวินัย

นี่มันโง่และบื้อเอามากๆ หากปล่อยให้หญ้ารกเหตุเพราะการออกจากอาบัติ ทำกันไม่เป็น

พระพุทธองค์ท่านได้ชี้เรื่อง สติเอาไว้ ให้ทำการโยนิโสก่อนที่จะกระทำการอะไร นี่ ก็เพื่อระลึกไว้ การจะทำอะไร ให้ทำด้วยสติ

เพราะสติมันจะเกิดปัญญามีเหตุมีผลในการกระทำ ไม่ใช่กระทำอะไรด้วยความหมายแห่งการขาดสติ

เมื่อมันมีเหตุจำเป็นต้องทำ แต่มันมีเหตุผิดจากพระธรรมวินัย อย่างเช่นหญ้ามันรกวัด

มันก็ต้องกระทำการโยนิโส เพื่อที่จะทำให้มันไม่รก

การกระทำด้วยสติปัญญามีเหตุมีผลรองรับอย่างนี้ มันไม่ทุศีล

ที่ทุศีล เพราะมันขาดสติ

ที่ขาดสติเพราะขาดการโยนิโส

ที่ขาดการโยนิโส เพราะขาดศรัทธาจากผู้ชี้แนะ

นี่ ธรรมข้อนี้แสนง่าย เด็กน้อยทางธรรมมันก็ตามรู้ได้

แม่ค้า ชาวบ้านชาวนา เขาก็ตามรู้ได้

แต่นี่ใช้ชื่อว่าพระมหา แต่ตามรู้ธรรมง่ายๆ นี้ไม่ได้

เข้าใจความหมายง่ายๆ นี้ไม่ได้

ประนามคนอื่นโดยไม่ตรองธรรมให้ดี

มีความรู้จำแค่อ่านตำรา เป็นมหาให้อายหมามันไปเปล่าๆ

การที่จะเอาธรรมวินัยมาพูดมาสื่อ หรือ ถือ ปฏิบัติ ต้องพูด ต้อง สื่อ และ ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยที่ทรงตรัสไว้

สิ่งใด ไม่ใช่ธรรมวินัย เอามาสื่อ เท่ากับทำธรรมวินัยให้เลอะเลือน ผิดเพี้ยน และ เป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า คือ ให้คนอื่นเข้าใจว่า นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้น เมื่อจะสื่ออะไร ต้องอย่าให้ผิดหลักคำสอน อย่าคิดเดาเอาเอง

พระพุทธเจ้าตรัสสอนก่อนที่จะปรินิพพานว่า เมื่อผู้ใด มากล่าวว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็น พระวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ให้เทียบเคียงคำกล่าวนั้น คือยก สุตต เคยยะ เวยยากรณะ เป็นต้น

ที่ได้จารึกไว้ ทรงจำไว้ มาเทียบเคียงดู เมื่อเทียบเคียงแล้ว ขัดต่อคำของพระองค์ เข้ากับพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้ ตรัสว่า ไม่ควรถือเอา อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อไม่ถือหลักคำสอนที่ถูกจารึกไว้ในพระไตรปิฏก มาเทียบเคียง แล้วจะเอาอะไรมาตัดสินความถูกผิด หรือ พวกคุณคิดจะตั้งลัทธิใหม่

ยกอาจารย์ของพวกคุณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เมื่อพวกคุณ ไม่เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อจะตัดสินพระธรรมวินัย ก็คิดเดาเอาเอง ตัดสินตามใจชอบ

อาจารย์ของพวกคุณพูดถูกใจก็บอกว่าใช่ แต่มันไปขัดกับคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาจารย์ของพวกคุณจะไม่ถูกเรียกว่า พระพฤตินอกริตไปหรือ

แล้วพวกคุณจะเรียกว่า เป็นอุบาสก อุบาสิกา ผู้นับถือพระพุทธศาสนาได้อย่างไร

พระอาจารย์ : คิดอะไรไม่เป็นจริงๆ มหาองค์นี้

ไปเพ่งโทษผู้อื่นว่าตั้งลัทธิใหม่บ้าง เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่บ้าง พระนอกรีตบ้าง

ทำไมไม่เพ่งโทษใจตนเองบ้าง ที่ชอบเพ่งโทษผู้อื่น

อ่านเอาปัญญาให้ดี ว่ามันผิดเพี้ยนไปจากตำราที่ตนเองยึดตรงไหน

นี่เป็นธรรมเรื่องสติล้วนๆ มันขัดต่อคำสอนตรงไหน ที่อธิบายมา มันเข้ากับตำราไม่ได้รึไง

การเทียบเคียงธรรม ท่านให้เอาความเข้าใจในธรรมเทียบเคียง ไม่ใช่ไปเอาอักษรภาษามาเทียบเคียง

เป็นมหาแต่ไม่เข้าใจธรรม ว่าอะไรคือธรรม ธรรมตื้นๆ ใครฟังมันก็เข้าใจทำไมความเป็นมหามันไม่ช่วยอะไร ให้ใจมันเข้าถึงเลยรึ.

ท่านมาเพ่งโทษผู้อื่น พระพุทธเจ้าสอนรึ

ถ้าตรงนี้เป็นพระนอกรีต มันก็นอกรีตของมหานั่นแหละ

ความเป็นพุทธนี่ หมายถึงปัญญา ไม่ใช่ความงมงายหรือนอกรีต

หากความเป็นพุทธอธิบายธรรมง่ายๆ ไม่ได้ ต้องว่ากันตามความแคบของอักษร

นี่..มหามาเล่นเฟสแล้วเพ่งโทษคนอื่นทำไม

ตำรามาชี้มันบอกรึ หรือบ้าตำราไร้ปัญญาจนแยกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร

ในตำราโดยนัยยะมันก็อธิบายมาเช่นนี้ ไปตรองให้ดีซิ

ภาษาในตำรา เขาให้เอามาพิจารณาและแปลความหมายเพื่อดำเนินไปแห่งความเข้าใจกันออกมา

ไม่ใช่โต่งซะ จนตนคิดว่า ใครเพี้ยนไปจากตำราที่ตนยึด เป็นพวกนอกรีต

เป็นมหาแต่แคบ แค่เรื่องสติ ยังไม่เข้าใจ ไฉนเลย จะไปเข้าใจเรื่องศีล

พระสัทธรรมปฏิรูป คืออะไร ? อันนี้ หมายถึงการบิดเบือนแนวคิดใหม่ลงไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า

เช่นการรวมศาสนา หรือ ตั้งตนเป็น ศาสดา หรือ นิกายลัทธิ ใหม่ภายใต้ พระพุทธศาสนา โดยใช้หลักคำสอนผสมผสานกับแนวคิดของตนเอง ก่อเกิดปฏิรูป เป็นแบบแผนใหม่

หรืออาจจะปฏิวัติ หลักคำสอนใหม่ โดยคำสอนนั้น เป็นไปเพื่อ ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ ซึ่งการทำอย่างนี้ย่อมทำให้พระพุทธศาสนา เสื่อมได้ไว

ฝ่ายหินยาน เถรวาท จึงรักษาแบบแผน ยึด พระธรรม และ วินัย สองอย่างเป็น พระศาสดา ซึ่งปัจจุบัน ก็มีการบิดเบือน คำสอนกันมาก บางท่านกล่าวตู่คำสอนพระพุทธองค์ เป็นของตน

กล่าวของตนเป็นของพระพุทธองค์ เห็นพุทธบริษัทเพียงฝั่งเดียว

พระอาจารย์ : หากไม่มีคนอย่างท่านมหา เราที่เรียนรู้ธรรม ก็จะไม่เห็นอีกฟากแห่งผู้จำธรรม

เราเองก็เช่นกัน หากเอาธรรมที่จำคอยไปฟาดฟันผู้อื่น เพราะเหตุแห่งความจำได้แห่งบทธรรม

เราก็จะเลวไม่ต่างจากท่านมหาองค์นี้ ที่ไม่มีปัญญาแยกแยะ อะไรถูกอะไรผิดตรงตามธรรม

กลิ่นขี้ในสถานที่หอม ย่อมจำแนกปราชญ์ให้ออกจากเปรต

หากไม่มีกลิ่นขี้ ไฉนเลยจะรู้ว่าสถานที่ ที่เข้าใจว่าสะอาด มันมีขี้แอบแฝงอยู่

การบวชเป็นสงฆ์นี่ สำคัญ

มีธรรมเข้าใจธรรม ก็ย่อมชี้เหตุชี้ผลกันออกมาตามทิฎฐิภูมิธรรม

ชี้ข้อขัดข้องขยายความออกมา ให้ผู้อื่นเห็นได้และเข้าใจ

การยกตำรามาอ้างเพื่อฟาดฟันนี่..เป็นเรื่องของเด็กน้อย

เอาเหตุเอาผลสืบสาวออกมาให้เห็นชัดด้วยภูมิปัญญา นี่ วิสัยปราชญ์

เปรตย่อมเข้าใจตนว่าเป็นปราชญ์ เพราะเป็นเปรตผู้อิงตำรา

ปราชญ์แม้ไร้ตำรา ย่อมเข้าใจตำราด้วยความเป็นตำรา

แต่เปรต แม้อิงตำรา ก็หาเข้าใจตามตำราที่เปรตคิดว่าเข้าใจ

การชี้ธรรมนี่ เป็นปฏิทาไม่ต้องใช้ตำรา

เหตุแห่งการเกิดตำรา ก็เกิดจากใจที่เป็นปฏิทา ขยายอธิบายให้พอเข้าใจ

ขอต่ออีกนิด สมัยหลวงปู่มั่นมีพระเณรไปอยู่ร่วมศึกษาธรรมมาก เหล่าพระเณรก็ต้องถากถางหญ้าเพื่อสร้างกุฏิ นี่..พระผู้ทรงคุณทางหลานศิษย์ท่านเล่าให้ฟัง

การจะถากถางตัดต้นไม้ ท่านก็ต้องโยนิโสมนสิการก่อน จึงทำการตัดและถากถาง ไม่เช่นนั้นจะเป็นอาบัติตามพระธรรมวินัย นี่ ท่านก็ว่ากันมาตามแนวนี้

พระเรา จะเดินจะเหลียวจะคู่จะเหยียด จะกินจะขี้จะครองผ้าจะทำอะไร หากขาดสติ มันก็อาบัติกันทุกย่างก้าวนั่นแหละ

ที่อาบัติเป็นเพราะมันขาดสติ เมื่อขาดสติ มันก็จะขาดความสำรวม เมื่อขาดความสำรวม มันก็เป็นใจที่ทุศีล ที่ทุศีลเพราะใจมันไหลไปกับนิวรณ์ทั้งห้า

ที่ไหลไปกับนิวรณ์ทั้งห้า เพราะเป็นตัวตนแห่งอวิชา เรียกว่าอวิชามันครองตัวอย่างหนาแน่น
เป็นใจที่ไหลไปทางสมุทัย

ใจที่ไหลไปทางสมุทัย นี่เรียกว่าเป็นใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมเป็นใจที่มีแต่ทุกข์เป็นผล

ใจที่มีแต่ทุกข์ ย่อมใฝ่คว้าหาทางออกให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ และเล็งเห็นว่าถูกในสิ่งที่ตนเองนึกคิด

นี่..เรียกว่า จอมตัวตนและบ้าตำราโดยขาดสติพิจารณาอย่างแยบคาย พวกเดียร์ถีย์ที่แฝงเข้ามาในพุทธศาสนา เป็นกันมาก มันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

จึงไม่แปลก ที่เหล่าเดียร์ถีย์จะแฝงตัวเป็นเห็บโดยไม่รู้ว่าตนเป็นเห็บในพุทธศาสนา

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง การออกจากอาบัติ… ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง