……เข้าใจกาย ก็เริ่มเข้าใจธรรม…

……เข้าใจกาย ก็เริ่มเข้าใจธรรม…

926
0
แบ่งปัน

ศิษย์ถาม : “ไปยืนหน้ากระจก. แล้วหนีเงาเราซิ ถ้าหนีได้ ผัสสะก็หนีได้”

อันนี้คมมากครับ.. ผมเห็นว่า.. ไอ้ที่เราเป็นๆกันอยู่นั้น.. ไม่ว่าอารมณ์อะไร ไหนๆ.
ที่เป็นอาการตรงใจนี่ ที่เราเสวยอยู่นี่ก็ มีผัสสะเป็นเหตุทั้งสิ้น….

แต่ที่เป็นใจแล้วนี้ มาผ่านขบวนการมาเสร็จสรรพแล้วทั้งนั้น.
จะโกรธ. จะเกลียด. จะชอบ. ไม่ชอบ. จะสุข จะทุกข์ ดีใจ. เสียใจ.
ล้วนผ่านกระบวนการแห่งนามขันธ์มาสมบูรณ์พร้อมที่จะแสดงออก มาเป็นความรู้สึกเรียกว่าเวทนา..

แต่นั้นแหละครับ.. อารมณ์ใจนี้มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด. ไม่มีใครไปทำให้แสดงตัวขึ้นมา..
มันเกิดของมันเอง ตามเหตุปัจจัยแห่งผัสสะ.

ไอ้เราก็แค่เข้าไปเป็นเจ้าของอาการเท่านั้นเอง ยิ่งถ้าไม่รู้จัก นามขันธ์อย่างแท้จริง..
มันก็ต้องเข้าไปเป็นเจ้าของอาการอยู่ดี …..

ถึงจะรู้จัก แต่อดไม่ได้ เพราะอุปาทานเป็นเหตุ.. อุปาทานก็เกิดมาจากความเห็นนี่แหละครับ..

ความรู้สึกทั้งหลาย ที่เรารู้สึก มันเกิดของมันเองตามเหตุปัจจัยที่จิตแสดงออกมา. เป็นอาการของใจ. ตามความเคยชิน เเล้วเราไม่เข้าใจ คิดว่าเราเป็น อาการเหล่านั้น…

อาการเหล่านี้จะแตกต่างกันออกไป ตามวิบากของจิต.. แต่ผู้ที่มีสติเฝ้าดู จนเคยชิน มันจะรู้ชัดว่า..
มันไม่เกี่ยวกับเรา. เราไม่ได้เป็น และไม่ได้ทำให้มันมี

เพราะความคิดเห็น ที่เรามักใส่เข้าไปนี่แหละครับ..
อาการถูกใจ. ไม่ถูกใจ ก็เลยเกิด.. แต่หากผัสสะแล้ว. ให้มีสติเฝ้าตามดูไว้เฉยๆ.
แต่อย่าสร้างอย่าสร้างอารมณ์ให้ไหลไปตามกระแส.. ผลก็ไปอีกแบบ.

ตรงจุดนี้ท่านถึงบอกให้เรา มาดูเรา สงสัยเราแทน. ให้มากกว่าไปดูคนอื่น. หากเข้าใจตรงนี้.. ก็จะได้รู้ ว่าที่เราหรือเขาที่เป็นๆกันนั้น. มันก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปเพ่งโทษคนอื่นเขา. เพราะมันก็เหมือนกัน
ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ… สาธุธรรมครับผม.

เข้าใจธรรมชาติ ของความเป็นกูขึ้นมาได้ ก็เข้าใจอะไรๆ. อีกหลายๆอย่าง ..
เพราะทุกอย่างมีขึ้นมาได้..ก็เพราะมีกู นี่แหละครับ
มันอยู่ที่เราตั้งใจดูมันหรือป่าว……….

<<พระอาจารย์ตอบ : บ่าวต้น มันมีภาษาเข้าใจอารมณ์ธรรมชาติดีมากกว่าแต่ก่อนเยอะ..

ธรรมชาติของจิต มันเป็นดั่งเงาในกระจกนั่นแหละ หลบอาการมันไม่ได้

มันย่อมแสดงไปตามเหตุที่มันปรุง

ทีนี้ไอ้ผู้ดูนี่ มันดันไปเอาเงาที่แสดงว่ามันเป็น

จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่เงาที่สะท้อนอาการออกมา

เมื่อหลงเงาคิดว่าเราเป็น มันก็ยึดเงาละทีนี้

เพราะยึดเงาโดยไม่รู้ว่าเป็นเงา เจ้าของก็เลยแสดงตัวในความเป็นเงาเสียเอง

เรียกว่าหลงเงาที่ตัวเป็น นี่..อุปาทาน

การได้อ่านได้ฟังธรรมจากผู้เฒ่าบ่อยๆ

ไม่นานทุกคนก็จะเข้าใจ ในอาการแห่งจิตที่คิดว่าเป็นเรา

ทุกคนเข้าใจได้ เมื่ออ่านทวนบ่อยๆ

ธรรมนั้นไม่มีกาล หากอ่านและพิจารณาซ้ำๆ ภาชนะแห่งการรองรับธรรมยิ่งกว้างใหญ่

ธรรมะนั้น ยิ่งอ่านซ้ำยิ่งเข้าใจลึกลงไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกันนั่นแหละ

อ่านธรรมแบบรูดพรืดๆๆๆๆ แล้วบอกว่าอ่านแล้วนี่ โง่..

อุปสรรคสำคัญยิ่งของการบรรลุธรรมก็คือ กูรู้แล้ว

มีกูรู้แล้วเมื่อไหร่ ทะลุธรรม ธรรมรั่วออกไปหมด

ขอเป็นกำลังใจให้แก่บ่าวต้นเป็นเจ้าของสวนปาล์มแสนไร่..
————————————

ข้าขอแค่คนมันพอเข้าใจในความเป็นจริงซักสองสามคน แค่นี้ก็ถือว่าเป็นกุศลที่ได้เกิดมาแล้ว ชี้ทางสว่างให้แก่ผู้อื่นได้

ชีวิตนี้ขอแค่เปิดดวงตารักษาให้คนเห็นธรรมได้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว

ขอเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนให้มีดวงตาเห็นธรรม
แค่เรียงร้อยภาวะธรรมได้ มองเห็นรอยปริแตกแห่งตัวตนที่เป็นก้อนๆ ว่ามันมีองค์ประกอบย่อยอยู่ในก้อนแห่งตัวตนได้

ขอให้เห็นความจริงแค่นี้ให้ได้ก่อน ว่าไอ้ตัวตนก้อนนี้ จริงๆมันไม่ใช่เป็นก้อนๆ

แต่มันเกิดจากเหตุปัจจัยแห่งองค์ประกอบ กายส่วนหนึ่ง โปรแกรมทำให้เกิดอาการส่วนหนึ่ง

ผู้รู้ส่วนหนึ่ง และผู้ดูผู้เห็นอีกส่วนหนึ่ง

มันแค่มารวมกันเป็นก้อนๆ

เพียงแค่ไม่หลงก้อนแห่งตัวตนนี้ได้ ข้าก็สาธุคุณในกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว

ลึกกว่านั้น ให้เข้าใจสมมุติขึ้นไปอีกว่า จิตก็อย่างหนึ่ง ใจก็อีกอย่างหนึ่ง

หากแยกจิตแยกใจกันออกได้ นี่..ก็จะเข้าใจอาการต่างๆที่เกี่ยวกับความมีตัวตนได้ดียิ่งขึ้น

ลึกกว่านั้น หากได้พิจารณาตีโจทย์ เวทนา จิต ธรรม แตกออกมาได้ ท่านก็จะมีจิตที่ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ เมื่อสิ้นอัตภาพนี้

ธรรมต่างๆอาศัยเหคุปัจจัยเกิด หากไม่อยู่ในเพศนักบวช การเข้าถึงธรรมที่ลึกและละเอียด ก็ยากยิ่ง

แต่หากบวขมาแล้ว เสือกกลายร่างเป็นเทวดาให้เขากราบไหว้ ทำอะไรไม่เป็นและไม่ได้ซะแล้ว
อย่าพึงหวังอริยแห่งธรรม ว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมเลย

แค่ประคองตัวให้ได้ตายไปไม่ลงนรกแน่ เอากันแค่นี้ บางคนมันยังทำกันไม่ได้เลย มันหลงความเป็นนักบวชว่ามัน…ไม่ใช่คน

****************************************
พระธรรมเทศนา จากคอมเม้นต์เรื่อง อารมณ์เปรียบดั่งไฟ.
โดย พระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 23 ธันวาคม 2557