ว่าด้วยเรื่องรูปนาม

ว่าด้วยเรื่องรูปนาม

533
0
แบ่งปัน

ศิษย์ถาม : กราบสาธุขอรับพระคุณเจ้า รูปธรรม ตัดได้ไม่ยาก แต่ นามธรรม ยากยิ่งนักขอรับ

อาจารย์ตอบ : จริงฤา โคตรๆ..

รูปธรรมนี่ หากตัดได้ไม่ยาก นามธรรม มันอาศัยรูปเป็นเหตุ
เมื่อตัดเหตุได้ไม่ยาก ผลอันเป็นนาม ก็ตัดได้ไม่ยากเช่นกัน

ศิษย์: สาธุขอรับจิตใจกระผมอ่อนไหวมากๆ สติตามอารมณ์ที่อ่อนไหวไม่ทันขอรับ โดยเฉพาะเรื่องสงสารนี่จะสงสารไปซะหมด หรือเรื่องสะเทือนใจ ฯ เห็นเขาทุกข์ก็เป็นตามเขาฯขอรับ

อาจารย์ตอบ: รูปที่มากระทบนี่ ตราบใดยังมีสังขาร การปรุงแต่งแห่งการกระทบก็ย่อมมีเป็นธรรมดา

ความถูกใจไม่ถูกใจ โศกเศร้ายินดี มันก็มีกระแสไหลไปเป็นธรรมดา เพียงแต่ผู้มีปัญญาเข้าใจการผุดขึ้นมาจากใจ และการไหลในความเป็นไปของกระแส ว่ามันเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้น

เด็กร้องไห้มีน้ำตา เด็กมันทำให้น้ำตาไหลออกมาหรือ

ดีใจร้องไห้ก็มี เสียใจร้องไห้ก็มี น้ำตาเป็นเหตุปัจจัยของกระบวนการ ไม่ใช่เราเป็นผู้ทำให้น้ำตาไหล

ดารากลั่นน้ำตาออกมาได้ นี่ก็ต้องอาศัยผัสสะแห่งมโนใจ เหตุมี ผลจึงมี สรรพสิ่งล้วนอาศัยเหตุและปัจจัยเป็นองค์ประกอบ

ความสะเทือนใจเป็นธรรมดาของผลแห่งผัสสะ ตามแต่กำลังจริตของแต่ละคน….

รูปนี่..มันมีทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น

รูปบางอย่าง เรามองไม่เห็นด้วยตา จะมองว่า นี่เป็นนามไม่ได้

เสียงเรามองด้วยตาไม่เห็น ใครๆก็ว่านี่คือนาม เรารู้กันมาอย่างนี้

เสียงแม้มองด้วยตาไม่เห็น มันก็คือรูป เรียกว่ารูปแห่งเสียง

เพียงแต่เจ้าของมันโง่เอง ที่เสือกเอาตาเข้าไปเห็นเสียง

การเห็นเสียงเราใช้ตาดูไม่ได้ เสียงเราต้องใช้หูดู

เรื่องรูปธรรมนามธรรมนี้ มันเป็น อิธทัปปัจจยตา.. ท่าน..จริงฤา

เราเข้าใจว่า การมองไม่เห็นนี่ เป็นนาม อย่างเช่นเสียง

จริงๆแล้วเสียงนี้เป็นรูป การได้ยินน่ะเป็นนาม

หากลึกลงไปอีก

การได้ยินก็เป็นรูป รู้การได้ยินน่ะเป็นนาม

หากลึกลงไปอีก

รู้การได้ยินก็เป็นรูป ตัณหาที่ชอบ ไม่ชอบ และเฉยๆน่ะเป็นนาม

หากลึกลงไปอีก

ตัณหาที่ชอบก็เป็นรูป อุปทานแห่งตัณหานั้นน่ะเป็นนาม

นี่..มันยังมีลึกลงไป ลึกลงไป ๆๆๆๆๆๆๆไม่รู้จบ

จนเป็นวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท เวียนวนด้วยเหตุด้วยผลอยู่เช่นนี้

เพียงแต่เราก้าวเข้าไปไม่ถึงด้วยความคิดแห่งปัญญาเรา มันก็แค่นั้นเอง

เสียงมันต้องมองด้วยหู

กลิ่นต้องมองด้วยจมูก

รสต้องมองด้วยลิ้น

ร้อนอ่อนหนาวต้องมองด้วยกายสัมผัส

อารมณ์ต้องมองด้วยใจ

นี่..เราถึงจะเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายที่ไม่ได้ใช้ตาเห็นนั้น

แท้จริงมันก็มีรูปให้เห็นให้มองกันทั้งนั้น

เพียงแต่เราใช้เครื่องมือและเข้าใจในการมองเป็นรึเปล่า

ตา..เป็นเครื่องมือให้วิญญาณ เรียกว่า จักขุวิญญาณ

หู..ลิ้น..จมูก…กาย..ใจ..

ต่างเป็นแค่เครื่องมือที่แยกกันไปตามหน้าที่

เครื่องมือเหล่านี้ เป็นแค่ช่องทางดู

และมันต่างก็เป็นตาให้วิญญาณรู้

เพียงแต่เรามันโง่เอง ที่เข้าใจว่า มีเพียงแต่ตาที่ใช้มองเห็นรูป

เรามันไม่เข้าใจว่า รูปนี้มันมีหลากหลาย

บางอย่างใช้ตาเห็นไม่ได้ มันต้องใช้ช่องทางอื่นในการเห็น

หากเข้าใจได้เช่นนี้

เราก็จะไม่หลงแค่ ตารู้ หูรู้ จมูกรู้อีกต่อไป เพราะตัวที่รู้ มันคือวิญญาณที่เสพผลแห่งเวทนานู่น


ขวัญดาว ปิ่นรอด.. ลมหายใจ มองด้วยผัสสะหรือความรู้สึก..

พระอาจาย์: ลมหายใจ มองด้วยกายวิญญาณ ขวัญดาว

ความรู้สึกนั้นมันเป็นวิญญาณ เป็นเวทนาตัวหนึ่งที่อาศัยการผัสสะ

ผัสสะแล้วจึงจะรู้สึก

การรูสึกนี้ มันเป็นเวทนาที่ผ่านกระบวนการแห่งนามขันธ์เรียบร้อยมาแล้ว

ความรู้สึก เป็นวิญญาณรู้ในผัสสะที่ผ่านช่องต่อ คืออายตนะแล้ว

ลมหายใจ มันสัมผัสกับกาย วิญญาณอาศัยช่องทางในการรู้ว่า ลมหายใจผ่านผิวตรงทางเข้า ที่เรียกว่าจมูก

ตรงนี้จึงมองด้วยกายวิญญาณในการผัสสะ

หากหายใจแรงๆ ก็แยกรู้ไปทางเสียงด้วย หูมันผัสสะเสียงลมหายใจ

หากมีกลิ่น ก็แยกรู้ไปถึงกลิ่นด้วย จมูกมันผัสสะกลิ่นที่มากับลมหายใจ

เสียงก็เป็นโสตวิญญาณ คือวิญญาณอาศัยผ่านทางช่องหู

กลิ่นก็เป็น ฆานวิญญาณ คือวิญญาณอาศัยผ่านทางช่องจมูก อะไรอย่างนี้

แต่ตัวที่เห็นจริงๆนั้น คือวิญญาณ ไม่ใช่ ตาเห็น หูเห็น จมูกเห็น ดั่งที่เราเข้าใจ

ที่เราเข้าใจกันนั้น มันเป็นการเห็นอยู่แค่ทางเข้า เรียกว่า คารูอยู่ประตูทางเข้า

การคารูนี้ เกิดจากตัวตนที่เป็นเจ้าของในความเป็นกูรู้

ความเป็นตัวกูนี้ มันมาบดบังความจริงแห่งวิญญาณรู้

วิญญาณมันมาบดบังความจริง แห่งการปรุงแต่ง

การปรุงแต่งมันมาบดบังความจริง แห่งอวิชา

อวิชามันมาบดบังความจริง แห่งกองสังขารที่เกิดมา

กองสังขารมันมายดบังความจริง แห่งไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์มันมาบดบังความจริง แห่งอริยสัจ

อริยสัจมันมาบดบังความจริง แห่ง อิธทัปปัจจยตา

อิธทัปปัจจยตามันมาบดบังความจริง แห่ง อวิชา

อวิชามันมาบดบังความจริงในทุกสรรพสิ่ง

เพราะสรรพสิ่ง อาศัยอวิชาเกิด

อวิชาอาศัยผัสสะเกิด

ผัสสะอาศัย อายตนะเกิด

อายตนะอาศัย นามรูปเกิด

นามรูปอาศัย วิญญาณเกิด

วิญญาณอาศัย จิตสังขารเกิด

จิตสังขารอาศัย อวิชาเกิด

และอวิชา อาศัย ผัสสะเกิด..

นี่..การเกิดมาอาศัยเกิดกันมาเช่นนี้ เพียงแต่การเกิดในแต่ละที มันมีกาลแห่งห้วงเวลาเข้ามากั้น

ที่สำคัญ นักปฏิบัติที่ยึดตำรา และตัวตนเป็นหลัก

ต่างพากันหลงห้วงแห่งกาล

แยกแต่ละกาลไม่ออกเป็นชั้นๆ

มันจึงโง่ที่มองธรรมเห็นได้แค่เป็นก้อนๆ

มันแยกกาลเป็นชั้นๆไม่เป็น การเข้าถึงธรรม จึงมีแต่ตัวกูเจ้าไปเป็นเจ้าของก้อนธรรม
ที่สำคัญติดตำราแล้วถอดถอนอุปาทานจากตำราไม่เป็น..

*****************************
พระธรรมเทศนา 11 ธันวาคม 2557
โดยพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง