ธรรมง่ายๆ ที่ไม่ง่ายต่อคนทั้งหลาย….

ธรรมง่ายๆ ที่ไม่ง่ายต่อคนทั้งหลาย….

887
0
แบ่งปัน

ธรรมง่ายๆ

ตอนนี้ไม่ไอแล้ว แต่ปวดขาซ้ายแบบหยั่งพื้นไม่ได้แทน เมื่อสองสามวันก่อน นี่แหละ พวกนี้เป็นวิบาก ที่ต้องเผชิญ

เมื่อสองวันที่แล้ว ลงว่ายน้ำกับเณร เข่าไปกระแทกปูน มันปวดเข้าไปในกระดูก แต่ข้าก็เห็นการปวดชัดเจน เห็นอาการแห่งการปวด

พวกเราใครเคยเห็นบ้างรึเปล่า…?? ส่วนใหญ่พวกเราโดนผัสสะปั๊บ กูปวด นี่… มันธรรมดาของความเป็นกู กูเป็นทุกอย่างยันเต..

ตรงนี้นี่แหละ เราขาดสติเข้าไปพิจารณาไม่เห็น เป็นเพราะขาดกำลังแห่งสมาธิ

ตัวข้านี่… ปกติมันเป็นโปรแกรมจิตแบบ ผัสสะปุ๊บมันวินิจฉัยปั๊บ มันเคยชินของมันอย่างนั้น

ข้านี้ทำใจสบายๆ ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ ทำตัวเป็นท่อนไม้ลอยน้ำ ลอยตัวอยู่นาน จิตก็เพ่งมองสอดส่องอยู่แต่รูปกาย

ธรรมชาติแห่งจิตข้านี่ มันไม่ค่อยออกนอกกายหรอก หากไม่ไปทำอะไรตามเหตุปัจจัย หากอยู่เฉยๆ มันจะสอดส่องลงแต่กายอย่างเดียว ด้วยความเคยชินเป็นปกติของมัน

มันจะเห็นการเคลื่อนไหว ความคิด การพูด เหลียวรู้คู้เหยียด มันตามเฝ้าดูและรู้ตามหมด นี่ ปกติจิตข้ามันเป็นเช่นนี้ จะเดินจะเหิน กินขี้เคี้ยว มันรู้ชัดแห่งอาการตลอด มันเคยชินเหมือนหูที่ได้ยินเสียงตลอดเวลา

เรียกว่า เป็นความชำนาญแห่งมหาสติ มหาปัญญา ผัสสะปุ๊บมันก็ทำการวินิจฉัยไปตามกำลังแห่งสติปัญญาที่มันปรุงอยู่ตลอดเวลาทันที

ช่วงนี้ มันเป็นหน้าลม คลื่นมันก็พัดพาตัวข้า ที่นอนหลับตากางแขนอยู่บนน้ำ ลอยไปติดตลิ่ง ตรงทางปูนที่เราก่อ

เพราะความที่ตรงนั้นชัน ข้าเข้าใจว่าน้ำมันลึก จึงพลิกตัวเพื่อเอาขายันพื้น ปรากฏว่ามันตื้น เข่าข้าจึงกระแทกกับทางลาดปูน พอผัสสะปุ๊บ จิตที่มันสงบด้วยสมาธิสติมันก็มีปัญญาเห็นชัด

มันเห็นชัดว่า เข่าที่กระแทกนี่ มันไม่ได้เจ็บ ความเจ็บมันเกิดขึ้น เมื่อผ่านการกระแทกนั้นไปนานโข จริงๆ แล้วแป๊บเดียว แต่ของข้าเวลานั้นดูนานโข มันเห็นตั้งแต่ผัสสะ ไล่ไปถึงชาติ คือรู้ในเวทนา

แต่เมื่อตอนนั้นกว่าเวทนาเกิด ข้าเห็นเวลามันล่วงไปนานโข มันเห็นทุกกระบวนการที่เรียกกันว่า ชวนะจิต แล้วมันจึงจะเริ่มปวดเสียดแทงเข้าไปในกระดูก มันปวดจนอดไม่ได้ที่จะเอามือเข้าไปลูบคลำ

ปากก็อดไม่ได้ที่จะห่อซู๊ดปาก ร้องโอยๆๆ และทุกกระบวนการเหล่านี้ มันมีข้าอีกตัวเฝ้าดูและรู้เห็นอาการทั้งหมด เรียกว่า ดูอาการ ที่กายมันแสดง มันแสดงไปตามความเคยชิน

จริงๆ แล้วมันก็รู้อยู่ว่า ถึงไม่ซูดปาก มันก็ไม่หายเจ็บ ถึงจะไม่เอามือลูบป้อยๆๆๆ มันก็ไม่ได้หายเจ็บ หรือทั้งซูดปาก และเอามือลูบ มันก็ไม่หายเจ็บอีกเหมือนกัน

การซู๊ดปากกับการเอามือลูบป้อยๆๆๆ เป็นแค่กริยาหลง ที่มันเคยชินกับการแสดงหรอกทีนี้… ไอ้ที่เจ็บ มันก็ไม่ใช่เข่าเจ็บ นี่..มันเห็นอีก

เพราะเข่ามันโดนกระแทกไปตั้งนานแล้ว อาการเจ็บนี่ มันเพิ่งเกิด มันเกิดทีหลังนานโข นี่…. กำลังแห่งสติและสมาธิ มันถ่วงเวลาแห่งการจำแนกออกมา

อาการเจ็บนี้ มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากอีกอย่างหนึ่ง เข้าไปรองรับอาการที่เข่า มันกระแทก นี่..มันคนละเรื่อง คนละส่วนกันเลย มันเห็นได้ชัด

อาการที่เจ็บแสนเจ็บปวดแสนปวด มันเป็นแค่โปรแกรมที่แสดงตัวออกมา ตามสัญญาณวิถีของมันเฉยๆ ไม่เกี่ยวกับ ที่เข่ามันไปกระแทก เขากระแทกเป็นแค่เหตุแห่งผัสสะให้อีกตัวหนึ่งทำงาน

มันเหมือนกับว่า ไฟแดงในรถมันแสดงโชว์ขึ้น เพราะน้ำมันหมด แต่ไอ้ไฟแดงที่สว่างโล่ขึ้นมานั้น มันไม่เกี่ยวกับความเป็นน้ำมันหมดอะไรเลย

มันเพียงทำหน้าที่เตือน เพราะเหตุแห่งน้ำมันหมด ไม่ใช่ตัวมันเป็นผู้เกี่ยวอะไรกับน้ำมัน หรือต้องการน้ำมัน

มันเป็นแค่ไฟแสดงตัวไปตามหน้าที่โปรแกรม ว่า น้ำมันหมด จะใส่หรือไม่ใส่ ไม่ใช่เรื่องของมัน มันแค่แสดงให้เห็นเท่านั้น

เจ็บนี้ก็เหมือนกัน มันแปล๊บบบบขึ้นมา มันไม่เกี่ยวกับเข่าที่ไปโดนกระแทกอะไรเลย กระแทกก็อยู่ส่วนกระแทก เจ็บก็อยู่ส่วนเจ็บ มันไม่เกี่ยวกัน แต่มันทำหน้าที่สืบเนื่องกัน

จะโอยหรือไม่โอย จะลูบหรือไม่ลูบ ความเจ็บก็สว่างโล่ละ จะเป็นเจ้าของหรือไม่เป็น มันก็แสดงตัวมันให้รู้สึกกับใจละ

นี่แหละ “.. อิธทัปปัจจยตา..” และ เป็นธรรมชาติของมันเช่นนี้ ตัวกูมันเข้าไปเสือกในหน้าที่อาการของมันเอง

ขณะที่โดนกระแทก เมื่อรู้ว่ากระแทก มันจะเกิดความไม่รู้ขึ้นมาก่อน ตัวนี้แหละที่เรียกว่า “..อวิชชา..” แต่ผู้ดูและผู้รู้ มันเห็นและรู้แล้ว จากเหตุแห่งผัสสะ แต่อาการยังไม่แสดงส่งผล

ระยะเวลาที่จะเกิดตัวรู้ขึ้นมาว่ามันเจ็บ มันต้องไปผ่านกระบวนการตามโปรแกรมของมัน ก็ต้องหยั่งลึกลงไป ด้วยวิปัสสนาญาณอีก มันละเอียดลงไปอีก

เอาแค่เห็นระยะกาลที่กระแทก แล้วรู้ว่ากระแทก นี่เป็น “อวิชชา” ความเจ็บทั้งหลายยังไม่เกิด นี่เพราะว่า ยังเป็น “อวิชชา” อยู่ โปรแกรมแห่งนามขันธ์ยังไม่คลอดออกมา

แต่พอเกิดการปรุงแต่ง เพราะผัสสะเป็นเหตุ กระบวนการแห่งเจตสิก คือการทำงานปรุงแต่งตามนามขันธ์ก็เกิด

เมื่อปรุงแต่งเสร็จความเจ็บทั้งหลาย ก็แดงสว่างโล่ขึ้นมา เหมือนรถที่มันหมดน้ำมัน ไฟแดงก็สว่าง
แต่นี่พอผ่านกระบวนการเสร็จ ความเจ็บมันก็แสดงผล ความเจ็บนี้เป็นธาตุแห่งเตโช มันกระจายรวมธาตุสว่างแดงโล่ให้เจ้าของรับทราบ ว่านี่ เจ็บแล้ว

เจ็บนี้เป็น ”เวทนา” ที่ “อวิชชา” สมมุติขึ้นมาเพื่อรับรู้อาการ หากคนมีปัญญา มันจะเห็นชัดว่าเจ็บนี้ ไม่ใช่ของจริง เจ็บจริงๆ มันไม่มี

ที่มีมันเป็นแค่สมมุติแห่งอวิชชา ที่เราทั้งหลายไม่รู้จักมันก็แค่นั้น นี่..ข้าขยายออกมาให้ฟัง พวกแกไม่มีทางได้ฟังความจริงเช่นนี้จากใครที่ไหนแน่ ถึงฟังก็ไม่รู้เรื่อง เรียกว่าอธิบายตามตำราที่คนเข้าไม่ถึงมันแปลขึ้นมา

เพราะว่ายุคนี้ คนบ้าๆ เพี้ยนๆ อย่างข้ามีน้อย ตรงนี้ เรียกว่า “..การเจริญสติ..” ที่เรียกว่า “..โพชฌงค์..” เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ธรรม แค่โพล๊ะเดียว โพชฌงค์ทั้งเจ็ด เข้าทุกตัว ไม่ต้องไปเรียนรู้ทีละตัว อย่างเขาโม้ตามตำรา

ในตำราท่านแยกให้เห็นองค์ประกอบแห่งเหตุปัจจัยของมัน ไม่ได้ให้เข้าไปเป็นทีละอย่าง อย่างที่ชี้ๆกัน กินกาแฟ น้ำอย่าง ผงกาแฟอย่าง กลิ่นอย่าง รสอย่าง คงเป็นกาแฟตายละ

เมื่อเจริญเฝ้าดูกายด้วยสติ มันก็จะเห็นธรรมดา แห่งเวทนา มันจะเข้าใจเวทนาทั้งหลายว่า มันไม่ใช่กูเป็น

“ไอ้ตัวกู” นี่… มันคือโปรแกรมยามเฝ้าโรงงานแห่งความเสือก ไอ้ห่านี่ เสือกเป็นเจ้าของทุกเรื่อง

หากเรามีสติแยกแยะ ออกมาด้วยจักษุญาณ มันก็เห็นชัดว่า เวทนาทั้งหลาย มันเป็นแค่อาการแห่งจิต

หากมีปัญญาที่สูงกว่านั้น จะเห็นและแยกออกมาได้อีกว่า….

อาการแห่งจิตทั้งหลาย มันก็เป็นธรรมดาของมันที่เป็นธรรมชาติปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยของมันนั้นแหละ

มันมีวิวัฒนาการแห่งโปรแกรมของมันอยู่ นี่แหละ … ที่นักบาลีไปท่องไปเรียนไปอ่านไปจำๆ กัน ที่เรียกว่า…

“.. กาย เวทนา จิต ธรรม ..”

เรียกว่าเป็นสติปัสฐานสี่อะไรนู่น เรียนให้งงๆ เข้าไว้ แต่โง่ๆ นี้ฉลาดหลายที่ไปตีความมา

ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรม “แห่งตถาตา” ผู้เข้าถึงธรรมย่อมมองเห็นธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมดา…

มันวินิจฉัยธรรมของมันไปเอง เราไม่ต้องเสือก มันก็เป็นและเห็นของมันเอง

สำคัญ… เอาไอ้กูออกๆ หน่อย สร้างภาชนะรองรับให้มันกว้างๆ หน่อย พอให้มีที่ตั้งแห่งสติสอดส่องลงไปบ้าง

บ้าๆ อย่างข้ายังมองเห็นได้ คนดีๆ อย่างพวกแกมองไม่เห็นนี่ก็โง่แล้ว เรื่องพวกนี้ ข้าตีแตกมาตั้งแต่ยังไม่บวช มันเห็นชัดมาก่อนแล้ว

ไม่ใช่มาบวชแล้วจึงจะมาตีแตก ฉะนั้น พวกแกตีธรรมทั้งหลายได้อย่างสบาย

เพียงแต่เมื่อบวชแล้ว มันมีเวลาและความเพียรเข้าไปวินิจฉัยและตีอย่างหมดจดเท่านั้น

เรียกได้ว่า “ใจมันเกิดปัญญาวิมุตติ” และทุกคนก็เกิดได้ทุกคนอยู่แล้ว

เลิกโง่กับตัวกูของของกูที่ชอบเสือกเมื่อไหร่ เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุติ มันก็อยู่เป็นหน่อผุดขึ้นมาท่ามกลางใจ

ข้าขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน คืนนี้หวัดดี..

ตอบที่น้องๆมันถาม……

ทุกอย่างที่เกิดกับกาย มันก็คือตัวธรรมทั้งนั้นแหละ เราเห็นมันรึเปล่า..??

ธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง แสดงธรรมอยู่ แต่เราไม่ดู

ถึงดู ก็มองไม่เห็น

ถึงเห็น ก็มองไม่เป็น

ถึงมองเป็น มันก็เป็นด้วยความไม่รู้

นี่..ธรรมชาติของความบอดแห่งจักษุ

ฮ่าๆๆๆ ธรรมที่ข้าแสดง ผียังงง มันงงว่าข้าแยกแยะได้ไง

แค่เรื่องเข่ากระแทกปูน บาลีทุกบทที่ผีเคยเรียน เขาบอกว่า เข้าหมด

ฮ่าๆๆๆน่าเสียดาย ที่เสือกตายห่าไปซะก่อน อดฟังธรรมแห่งมุตโตทัยเลย เหอๆๆ

พวกแกยังไม่ตาย น่าเสียดาย มีหูมีตาฟัง แต่เสือกโง่กว่าผี ผีบอกมันเสียดายที่ไม่มีเครื่องมือบันทึกซะแล้ว

รู้ได้ แต่บันทึกไม่ได้ เพราะเครื่องมือมันไม่เป็นใจ

ธรรมที่ข้าแสดงน่ะ มันต้องรู้และแตกมาก่อน มันจึงแสดงออกมาเป็นฉากๆ ได้

พวกเรามันเอาความจำที่เขาว่าๆ กันมาแสดง มันก็ได้แค่จำ มันเข้าไม่ถึงตัวธรรม มันจึงแจงออกมาเป็นฉากๆ ไม่ได้

ข้าน่ะเข้าใจพวกเรา แต่พวกเราไม่มีวันเข้าใจข้า เหอๆๆ นี่เป็นธรรมดา แม้ธรรมจะแสดงตัวแค่ไหน มันก็พากันสงสัยเป็นธรรมดา

พวกแกไม่สงสัย แต่ใครๆ ที่ไม่เข้าใจ มันสงสัยชิบหาย

นี่ คืนนี้ว่ากันยาวเลยวุ๊ย แค่เรื่องเจ็บเข่า

เวลาเจ็บ ข้านี่รู้จักความเจ็บ ว่ามันเป็นอาการจิต เวลามันเกิดอาการ ข้าก็แค่ล่อให้มันไปปรุงอย่างอื่นแทน ความเจ็บนั้นมันก็จางลง

อย่างเช่นมีดบาด เราเจ็บนิ้ว เราก็เอาไม้หน้าสามหวดเข้าไปที่ดั้งจมูก เพล๊วะเดียว อาการเจ็บนิ้วก็จางลงทันที มันไปปรุงแถวหน้าที่ยุบลงไปแทน

นี่ เห็นม๊ะ เรื่องง่ายๆ ไม่เชื่อก็ลองทำดู

*****************************************

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง