>>คำถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์ครับผม โดนใจจัง ผมก็คาใจอยู่เห็นบางท่านปลื้มนักหนา แต่ผมพูดไม่ค่อยเก่ง ปัญญาไม่คมเท่าไร เลยบอกว่า อย่าเพิ่งไปปักใจหลายเผื่อๆ ไว้บ้าง ท่านว่า ใช่ละๆ อย่างอื่นไม่เอาแล้ว ไม่ต้องทำอะไร..ว่างอยู่แล้ว วางอยู่แล้ว..เอ้าๆ ตามสบายนะ ลองดูๆ ทางใครทางมัน เราก็นึกในใจ.. ไม่นึกถึงสุขภาพชาวบ้านเลยน้อ..เอาธรรม ผลตรงปลายมาว่า ตัดอยู่คนเดียว คนอื่นเค้าจะไปตัดอย่างไรตามท่าน ตอนนั้นก็ได้มาหลายแผ่น ให้ก็เอาของฟรี555ก็ฟังๆ ดูก็ดีครับ ถูกอยู่ แต่ ไม่ทั้งหมด มันไม่มีกาล คนเรานี่นา ยังไม่ใกล้อรหันต์ขนาดนั้น จึงยกไว้บนหิ้งก่อน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของเรา พิจารณาต่อไปๆ ว่างบ้างไม่ว่างบ้างตามเรื่องตามราว ตามอัตภาพ5555
<<พระอาจารย์ : ใช่จ้า วีระศักดิ์ ธรรมมันต้องกระทำขึ้นมาให้ประจักษ์ ในความไม่ว่างนั้น ว่ามันว่างอย่างไร
ไม่ใช่ไปเอาผลของใครไม่รู้ มาชี้ว่าว่าง ว่างอย่างนี้ มันว่างแบบคนมีทิฏฐิ คือยึดความว่างเป็นสรณะ เอะอะ..มันว่างของมันอยู่แล้ว แต่ตัวเอง ยังขวางความว่างที่แสดงนั้นอยู่
มันก็เหมือนกับว่า มีห้องแสนรกอยู่ห้องหนึ่ง มันรกรุงรังเต็มไปซะหมด อยากเอาของออก ให้มันเป็นห้องว่าง การจะว่างได้ มันก็ต้องหมั่นขนออกที่ละชิ้นๆๆๆๆ มันต้องปฏิบัติโดยการขนออก มันจึงจะเป็นห้องว่างขึ้นมาได้
ไม่ใช่จู่ๆ มันว่างของมันอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ใครๆ ต่างก็เห็นว่ามันรกของมันอยู่ มันว่างตรงไหน อธิบายความไม่ว่างให้มันว่างออกมาไม่ได้ แต่ปากก็บอกว่า ห้องรกๆ มันว่างของมันอยู่แล้ว
ให้ทุกคนทำใจว่ามันว่าง แต่ผลมันแสดงอยู่ว่า ห้องมันยังรก มันยังปรากฏเป็นรูปธรรมอยู่เลย ห้องมันว่างตรงไหน การพยายามขนของออก ดันบอกว่า อย่าๆๆๆๆๆ มันจะเป็นกรรมซ้อนกรรม ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย เพิ่มตัณหาความอยาก ในความว่างนั้นเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ความจริง ห้องมันก็รกอยู่ ใครจะไปเข้าใจวะ ธรรมแบบนี้
การขนของออกจากห้อง เพื่อเจตนาให้ห้องมันว่าง เป็นกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่ควรจะไปกระทำ ให้ซ้อนกรรมเข้าไปอีก ให้มองว่า ห้องที่รกๆ นั้น มันว่างของมันอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ นี่…พวกยึดความว่างเป็นสรณะ แม้แต่ความคิดว่าว่างมันก็ยึด และให้ผู้อื่นยึดตามความคิด ที่มันคิดอีก
ห้องที่มันรก ตามธรรมชาติ เมื่อเห็นว่ารก ระลึกได้ว่ามันรก มีสติรู้ตรงตามความเป็นจริงถึงทิฏฐิของเราเองว่า มันรก เราก็ต้องเอาออก และขนออก เพราะความรกของห้อง ในแต่ละคน มันเห็นไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน
บางคนรกแค่ไหนมันก็ไม่รกหรอก แต่กับบางคน มันรกซะทนไม่ไหว มันก็มี ฉะนั้น การรกของห้อง ความเห็นยังมองเห็นไม่เท่ากัน จะเอาอะไรมาเป็นตัววัด ว่าห้องใครรกหรือไม่รก มันไม่ได้
ท่านถึงบอกว่า ทิฏฐิคน มันมีไม่เท่ากัน เราอย่าเอาทิฏฐิเรา ออกไปตัดสินใคร ให้ได้ให้เป็นตามความเห็น แห่งทิฏฐิเรา ไม่เช่นนั้น ธรรมทั้งหลายที่เราเห็น มันก็จะเป็น ทิฏฐิธรรมแห่งตัวตน
เมื่อมีตัวตน แน่นอน ความว่างย่อมตั้งขึ้นไม่ได้ เพราะมันมีตัวตนเป็นเจ้าของ ในความว่าง ที่เป็นทิฏฐิตน เป็นเจ้าของอยู่
ห้องที่มันรก เมื่อกระทบถึงทิฏฐิว่ารก มันกระทบเรา ไม่ใช่กระทบใจใครอื่น การแก้ ต้องแก้ที่เรา ไม่ใช้ให้ใครอื่นเขามาแก้ หากดูและรู้ว่ามันชักจะรกแล้ว เราก็ต้องเริ่มปฏิบัติการละทีนี้ มันจึงจะสางความรกนั้น ให้ทุเลา เบาบาง จางคลายลงมา
โดยการขนออกไปจากห้องที่รกๆ นั้น ทีละอย่างๆ การขนออก มันก็มีการขนออกไม่เท่ากันอีก บางคนเอาออกแค่เล็กน้อย มันพอมีที่เดินได้ มันก็พอใจแล้ว กำลังมันมีแค่นั้น เราก็ว่ากันไม่ได้ แม้ใครจะดูว่า ห๊อ…..ห้องยังรกอยู่เลย แต่เราเจ้าของห้อง อาจจะโล่งแล้วพอใจแล้ว ห้องใครห้องมันเว้ย
บางคนยิ่งขนออก ยิ่งรู้สึกว่า มันยิ่งโล่ง เดินสบายขึ้น กว้างขึ้น สะอาดขึ้น จึงหลงในความไม่รกนั้น ยึดความไม่รกนั้นเป็นสรณะอีก สรณะนี้ หมายถึงหนึ่งเดียวสิ่งเดียว
ก็เลยขนๆๆๆๆ ออกให้หมดทั้งห้องเลย มันจะได้ว่างเต็มภูมิ ใครก็ตำหนิไม่ได้อีกแล้ว ว่าห้องนี้ มันรก นี่…เป็นห้องว่าง และก็ว่างจริงๆ เจ้าของภูมิใจ คนเห็นภูมิใจ ต่างภูมิในในความว่างเปล่านั้น นี่…บ้าความว่าง ที่ไม่มีอะไร มันว่างไปหมด ไม่มีสิ่งใดรกๆ อยู่ในห้องใจเลย
ห้องว่างแล้ว จะทำไรดีละทีนี้ มันก็เป็นห้องว่าง อยู่กับความว่างของห้อง และก็ตายไปกับความว่างของห้อง ไม่มีปัญญาหล่อเลี้ยงกายสังขารที่มันยังครองตัวอยู่ มันว่างไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรดี ยึดกับความว่างที่มีซะเลย แล้วกู่ร้องว่าของคนอื่นมันไม่ว่าง
นี่..หลงความว่าง มันอยู่กับความว่างของห้อง โดยคิดว่าเป็นห้องว่างแล้ว ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง ตัวของมันก็ยังยืนเดินนั่ง ให้รกห้องอยู่
ตัวของมันเองเป็นผู้รกห้อง มันไม่เคยรู้ตัว มันเอาของออก ที่ตัวเห็นว่ารกออกให้มันว่าง แต่เจ้าตัวที่รกห้องอยู่ ยังนอนขวางความว่าง โดยไม่รู้ตัวว่า ตนเองเป็นสิ่งของอย่างหนึ่งที่ยังรกห้องอยู่
นี่..มันโง่หลาย ห้องมันยังว่างไม่ได้ซักหน่อย ตราบใดที่เจ้าตัว ยังอยู่ในห้องว่างนั้น ไอ้เจ้าของความว่าง มันเป็นตัวรกตัวขวางความว่างอยู่ เจ้าตัวเห็นไหม
นี่..เจ้าของย่อมไม่เห็น แต่คนมีปัญญาย่อมรู้เห็น เจ้าตัวต้องออกมาจากห้องซิ ห้องมันจึงจะได้ว่างจริงๆ ซะที นี่..ถึงเรียกว่า เป็นห้องว่างจริงๆ ว่างอย่างไม่มีสิ่งใดแม้แต่เจ้าตัว
ที่สูงไปกว่านั้นในเรื่องความว่างอีกก็คือ แม้ห้องนั้นจะว่างจากสิ่งที่รกทั้งหลาย ว่างจากเจ้าตัวที่ยังอยู่ในห้องแห่งความว่างนั้นก็เหอะ ใครๆ ต่างเห็นว่าว่าง แต่มันก็ยังว่างไม่จริงอีก มันว่างเพราะเหตุจากวัตถุมันว่าง ใจมันยังมีความไม่ว่างอยู่เต็มหัวใจ
ที่ไม่ว่าง เพราะมันยังเป็นเจ้าของห้องอยู่ ห้องที่ว่างๆ ไม่นานฝุ่นเอย หยากไย่เอย มันก็ก่อเกิดขึ้นมาได้ ตามเหตุปัจจัยใจธรรมชาติ เจ้าของห้อง ย่อมไม่พอใจในความว่าง ทีคิดว่าว่างและสะอาดอยู่แล้ว ขึ้นมาอีก
เพราะยังไงห้องมันก็ยังมีอยู่ ความไม่พอใจเพราะเหตุแห่งหยากไย่ ก็ยอมมี เพราะความเป็นเจ้าของห้องมันยังมี เช่นนี้ มันก็รกใจขึ้นมาอีก คราวนี้ วัตถุไม่รก แต่มันมารกที่ใจ ใจที่มันไม่พอใจ เพราะใจมันยึดความว่าง และเป็นเจ้าของความว่างในห้องที่ยังเป็นเจ้าของอยู่
นี่..เราจะแก้ยังไง อยากจะขอทิ้งไว้ ให้เราขบคิด กระบวนการเช่นนี้ เป็นกระบวนการทำให้เกิดปัญญา และความรู้ในความว่างนั้นๆ ขึ้นมาได้
ใจก็เหมือนเป็นห้อง ความรกในห้องนั้นเป็นกิเลส การปฏิบัติ ก็คือการขนกิเลสออก ขนออกจนว่าง นี่ เป็นขั้นศีล เรียกได้ว่า เป็นพระโสดาบัน ว่างจากวัตถุและสิ่งรกใจทั้งหลาย
แต่ไม่รู้ว่า เจ้าของยังเป็นผู้ขวางและผู้รกของห้องอยู่ เรียกว่ายังหลงกายอยู่ ถอดถอนกายไม่ได้ แต่ถอดถอนขนวัตถุรอบกายออกทิ้งได้ ไม่หวงแหน
การเกิดปัญญารู้ว่า กายตนก็ยังรกห้องอยู่ นี่ เป็นปัญญา พระสกิทาคามี พอจะเห็นได้ว่า ตัวตนยังขวางความว่างแห่งห้องอยู่ จึงเอาตัวตนออกมาจากห้องซะ เพื่อให้ห้องนั้นว่างลงจริงๆ
เมื่อเอาตนออกมาจากห้อง เป็นห้องว่าง ไม่มีตนในห้องนั้น พึงพอใจในความว่าง ที่ไร้เรือนกายเป็นผู้ขวางห้อง นี่…เป็นปัญญาขั้น อนาคามมี
แต่ไม่ว่าห้องจะว่างแค่ไหน ใครก็ไม่มี แต่ยังมีความเป็นเจ้าของ ในห้องว่างนั้น และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่จะว่างโดยไม่มีตัวตนเป็นเจ้าของ นี่..กำลังดำเนินไปตามทางแห่งอรหัตมรรค
เหลือแค่อรหัตผล ทิ้งไว้ให้พวกเราคิดตรองกันดู เผื่อชาตินี้ จะได้ว่างจริงๆ กับอริยชนคนเขามั่ง ลองคิดดู ว่าจะทำเช่นไรดี
เช้านี้ ขอสวัสดี ในธรรมอันเป็นมุตโตทัย จากใจที่มอบให้ท่านทั้งหลาย ร่วมทางกันไปแบบเพื่อน เพื่อพ้นเสียจากทุกข์พร้อมๆ กัน…หวัดดี
>>คำถาม : มรรค 8 มีตัณหาอยู่ข้อไหนไม่ทราบ / ความพอใจที่ในทางไม่ดีท่านเรียกว่าตัณหา ความพอใจไม่ดีท่านเรียกว่ากุศลฉันทะ ทางไม่ดีเรียกกามฉันทะ พอใจในทางดีเรียกกุศลฉันทะ คนละสภาวธรรมเลย ฉันทะที่เกิดกับสภาวะจิตโลภ โกรธ หลง เรียกว่ากามฉันทะ ฉันทะที่เกิดกับสภาวะจิตที่มีสติ ปัญญาเรียกกุศลฉันทะ ฉะนั้นโลกธรรมกับมรรคคนละเรื่องกันเลย
<<พระอาจารย์ : มรรคแปด เกิดจากสติ ที่เข้าไปพิจารณา ลด ละ เลิก ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบ น่ะท่าน จึงเรียกว่ามรรค
ไม่ใช่ ไปเข้าใจว่า มรรคแปด อยู่ข้อไหนของตัณหา นี่มันถามไม่ถูก ท่านคนแนงทม ปลาดุก
ความพอใจทั้งทางดี และไม่ดี นี่คือตัณหาทั้งคู่ ไม่ใช่ไปเข้าใจบัญญัติที่จำมาอย่างนั้น นี่ท่านมันไปแยกตามคำแห่งสมมุติบัญญัติ ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ จำเขามาแต่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ไปจำเขามา
เข้าใจธรรมอย่างตำราและตามเหตุผลของตนเอง มันจะไปเข้าใจธรรมจริงๆ ได้อย่างไร คนแนงทม
โจรมันก็มีสติ มันตักบาตรฟังเทศน์สวดมนต์ ไหว้คนน้อมน้อมไม่เป็นรึไง ถ้าโจรมันพอใจที่จะทำดีอย่างโจรๆ เรียกว่า กุศลฉันทะรึไง ในเมื่อใจเดิมที่เป็นสันดานมันก็คือโจร
มันคนละสภาวะธรรมตรงไหน พูดไปเรื่อย ตามใจที่จำๆกันมา เวลาพูดธรรม ให้ยกเหตุและผลที่มา ออกมาด้วย ไม่ใช่โพล่งๆขึ้นมา แต่ความคิดตน แล้วทิ้งไว้ ภาษาจิ๊กโก๋เรียกว่า เย๊ดแล้วไป ปล่อยให้คนโดนเย๊ด งงๆกับที่โดนเจ้าจิ๊กโกทำ
เลยไม่เข้าใจว่าคำที่กล่าว มันหมายถึงอะไรตรงไหน และเหตุอะไร จำๆ มามั่วๆ เอานี่หว่า เข้าใจธรรมตลอดรึเปล่า หรือแค่คิดๆ เอาว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้..
ธรรมมันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด เข้าใจเหตุปัจจัยที่เกิดรึเปล่า หรือทึกทักเอา เขาพูดเรื่องไข่ไก่ ดันไปเข้าใจว่าเป็นไข่แมวไปโน่น ..หัวดอจริง นักธรรมยุคนี้ อ่านและฟังให้มันดีๆก่อน มันก็จะเข้าใจเนื้อหา ว่าเจตนาธรรมมันมุ่งหมายถึงสิ่งใด
นี่ไม่อ่านไม่ฟังให้เข้าใจ แต่ไปเอาสิ่งที่ตนเองวินิจฉัย อะไรมุมไหนก็ไม่รู้ จู่ๆก็โพล่งขึ้นมากลางวง ในเรื่องของคนและเหตุ คนละความหมายกับที่เขาพูด
ในเพจนี้ ใครจะแสดงความคิดเห็นอันใดก็ได้ ข้ายินดี และพร้อมที่จะถกธรรมกัน แต่ถ้าจู่ๆไล่ฟันกันโดยหาเหตุไม่เจอ ข้าก็ด่าแม่กันเท่านั้นเอง
คุยมาเถอะถามมาเถอะ แย้งมาเถอะ ว่ามันผิด ว่ามันไม่ใช่ ในสิ่งที่แสดงออกมา ทุกคนมันก็มีปัญญาด้วยกันทั้งนั้น จะมาหลอกกันด้วยคำพูดวลี ต่อหน้าคนเป็นพันเป็นหมื่น โดยหาคนที่มีปัญญามาแย้งไม่มีเชียวหรือ
หากผิด ก็ต้องถล่มกันบ้างละ อะไรที่ไม่ใช่ธรรม อรหันต์เฟสทั้งหลายย่อมรู้ดี เพราะทุกคนล้วนมีปัญญา หลายร้อยตีนที่แฝงมากับภาษา มันรอต้อนรับอยู่
ถ้าไม่ว่ากันตามธรรม แต่เสือกว่ากันตามจำ จำมาอวดภูมิว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ หากผิดร่องหน่อย เหล่าท่านอรหันต์เฟส ย่อมรู้ดี และมีอีโต้เขวี้ยงมา นี่…เป็นธรรมดา ขอให้ถามมาด้วยเหตุที่แสดงให้ตรงหน่อย จะได้มาถกธรรมกัน
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ปฏิบัติเป็นกรรม ว่างก็เป็นกรรม… ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง