รู้แล้ววางไม่ลง…เพราะมีกู

รู้แล้ววางไม่ลง…เพราะมีกู

1156
0
แบ่งปัน

>> ศิษย์ : กราบสาธุธรรมเจ้าค่ะ สรุปว่าไอ้ตัวรู้นี้ก็คือการตามดู ตามรู้ ตามเห็นในสิ่งที่เป็น รู้แล้ววางไม่ลง...เพราะมีกูที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ถ้ารู้ว่าคิดก็ให้ดับในเรื่องนั้นๆ ดับแล้ววิบากก็จะไม่เกิดมีอีก อย่างนี้ใช่หรือป่าวค่ะ  พระอาจารย์ กราบสาธุค่ะ

<< พระอาจารย์ : จิระนันท์ สิโรจน์รังสี การตามดูตามรู้นี้ เป็นธรรมขั้นเด็กน้อยอยู่

แต่เราต้องเริ่มต้นที่ตรงนี้ รู้แล้วดับ วิบากมันก็เกิดอยู่ของมันอย่างนั้น
ตราบใดยังมีการกระทำ ผลแห่งวิบาก ก็ย่อมเจริญตัวได้อยู่ แม้ว่าจะตามดูตามรู้ก็ตามเหอะ

<< ศิษย์ : กราบเรียนพระอาจารย์ขอรับ กระผมสงสัยในคำว่าจิตก็ไม่ใช่ของเรา?

แล้วสิ่งใดที่เข้าไปรู้ในมรรคจิต ผลจิต วิมุติจิต…  หากไม่ใช่ตัวจิตเองที่ถึงกาลของจิตที่มีวิชชาวิมุติอยู่เต็มดวงในจิตนั้นๆ  ที่เคยมีอวิชชาครอบคลุมจิตไว้ให้หลงวนเวียนในกองวัฎฎะสงสารไม่จบไม่สิ้นขอรับ…
กราบเรียนพระอาจารย์ขอรับ

<< พระอาจารย์ : รัตนตรัย คุ้มครอง…

ตัวรู้ มรรคจิต ผลจิต วิมุติจิต ก็คือตัวสางตัวเองในอวิชชานั้นแหละ

สิ่งที่ไม่รู้ก็เกิดจากมัน สิ่งทั้งหลายที่รู้ ก็เกิดจากมัน

ตอนไม่รู้มันก็สร้างสมมุติขึ้นมายึดเพื่อให้รู้ มันรู้ต่างๆได้โดยสมมุติ แต่มันไม่รู้ว่าสิ่งที่สร้างนั้นคือสมมุติ มันจึงยึดสมมุติว่าเป็นจริงและเป็นตัวมัน

เมื่อสางสมมุติ สมมุติทั้งหลายที่สร้างมายึด ก็กลายพันธุเป็นวิมุติ อวิชชาก็กลายพันธุมาเป็นวิชช

ส่วนความรู้ทั้งหลายที่มีความเป็นเจ้าของในกระบวนการแห่งการสาง สมมุตินั้น มันเป็นอาการของอวิชชา

เรียกง่ายๆ  ว่าไอ้ตัวเสือก มันทำตัวเป็นเจ้าของผู้รู้ มันรู้ไปตามหน้าที่ของมัน แต่มันไม่รู้ว่า สิ่งที่รู้นั้น ไม่ใช่ตัวมันทำ มันเป็นแค่ตัวเสือกรู้ในการทำก็แค่นั้นเอง ความเป็นเจ้าของว่ามันรู้ก็เลยเกิด

จิตนี้ เป็นอาการของอวิชา เรียกว่าจิตสังขาร มันปรุงแต่งได้ด้วยอวิชชา ไม่ใช่อยู่ๆ  มันจะเกิดเอง มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิดเช่นกัน

เมื่อถึงกาลดับ มันก็อาศัยเหตุปัจจัยดับเช่นกัน ใช่ว่า เราจะไปเป็นผู้ดับ

จะมีเราหรือไม่มีเรา มันก็ดับของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อเหตุปัจจัยแห่งการสาง มันดำเนินไปจนถึงที่สุด..

(พอดีฝนตกพายุแรง พัดเรือจม จึงไม่ได้อธิบายลึกลงไปของ รัตนตรัย ธรรมมันเลยสะดุดซะ )

แต่สรุปได้ง่ายๆ ว่าตัวรู้ทั้งหลายที่เข้าไปรู้อาการต่างๆ  ที่ให้นิยามมา คือตัวที่เข้าไปเสือกกับเขาทั้งนั้น

จะมีผู้รู้หรือไม่มีผู้รู้ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เพียงแต่อาการของมันอย่างนั้น ดันมีผู้รู้เข้าไปเสือกเป็นเจ้าของ ก็แค่นั้นเอง

รู้ทั้งหลายมันเป็นอาการหนึ่งของวิญญาณ ปรุงแต่งมาจากจิตสังขารที่มีเหตุมาจาก อวิชชา

รู้ทั้งหลายที่เรารู้ๆ  กันอยู่นี้ จึงเป็นรู้ที่ไม่จริง ที่คิดว่าจริง มันเป็นสมมุติอย่างหนึ่งที่เราอยู่ในครรลองธารของมัน ก็เท่านั้นเอง

กระแสแห่งสมมุติมันท่วมใจ สมมุติทั้งหลาย มันคือความจริงในความรู้สึกนึกเห็น อันเป็นตัวตน.. และตัวตนก็ย่อมออกจากสมมุติไม่เป็น

คำว่าตัวรู้นี้ มันรู้ไม่เท่ากัน ตราบใดที่เรายังไม่กระจ่างแจ้ง มันก็รู้เท่าที่เรารู้อยู่นั้นแหละ

มันมองไม่เห็น และจะไปรู้ว่า การแสดงเป็นผู้รู้นั่น ก็ยังมีผู้ดู กำลังดูผู้รู้อยู่ แต่สติมันระลึกได้ไม่พอ มันจึงไม่รู้ว่า ยังมีผู้ดูที่อยู่ลึกเข้าไปซ่อนตัวอยู่

ฉะนั้น คำว่าผู้รู้นี้ ไม่ว่ากำลังแห่งปัญญาจะสอดส่งลงไปถึงไหน ผู้รู้ที่ลึกเข้าไป มันก็ย่อมแสดงตัว ออกมาให้เห็นเสมอ

คำว่ารู้ซ้อนรู้นี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้ซ้อนรู้ยิ่งๆ  ขึ้นไปอย่างนั้น

เมื่อกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่ง มันก็รู้ตลอดในสิ่งที่มันกระจ่างแจ้ง แต่มันไม่รู้ในสิ่งที่มันยังไม่กระจ่างแจ้ง

นี่..มันเหมือนรู้อยู่เบื้องหน้า ตามกำลังแห่งปัญญาที่มันรู้  แต่ตัวมันเอง มันไม่รู้ ว่าสิ่งที่ถูกรู้ เกิดจากตัวมันเอง

มันก็เลยกลายเป็นผู้รู้ อยู่ไม่มีวันจบ

คำว่า..เราเพียงแต่ปล่อยรู้ นี่เป็นอัตตา รู้นี้ ไม่ใช่การปล่อยรู้ รู้นี้ ไม่มีผู้ปล่อย

ตราบใดที่ยังมีรู้ ตราบนั้นภพเกิดขึ้นเสมอ และกระบวนการนี้  จะมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของแห่งความรู้สึกนึกคิด ก็ไม่ได้

รู้นี้ ก็อย่างหนึ่ง สติก็อย่างหนึ่ง สมาธิก็อย่างหนึ่ง ปัญญาก็อย่างหนึ่ง วิมุติก็อย่างหนึ่ง

แต่ละอย่างต่างวางอุเบกขาซึ่งกันและกัน ทุกอย่างมันสางตัวมันเอง

สติก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ต่างล้วนเป็นสมมุติที่อวิชชาสร้างขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น

และสิ่งที่สร้างนี้ มันปลดปล่อยตัวมันเอง เมื่อถึงที่สุด อาการต่างๆ  จึงวางตัวเป็นอุเบกขา

ทั้งๆ  ที่ อาการทุกอย่าง มันก็ยังมี เพราะโดนสร้างมาให้มีหน้าที่ตามโปรแกรมจิต ที่มีอวิชชาเป็นเหตุ

จะบอกว่าเป็นผู้รู้ก็ไม่ได้ จะบอกว่าไม่เป็นผู้รู้ก็ไม่ได้

เพราะรู้ทั้งหลายนี้ มันก็ไม่มี ที่มี มันเกิดจากสมมุติ ที่อาศัยนามรูป เกิดวิญญาณรู้ ปรุงแต่งเป็นจิตสังขาร

อาศัยอวิชชา เป็นเหตุแห่งสภาวะทั้งหมด

เมื่ออวิชชาแตก จิตสังขารก็แตก

จิตสังขารแตก วิญญาณก็แตก

วิญญาณแตก นามรูปก็แตก

มันแตกกระจายลงไปเรื่อยๆ

คำว่าแตกนี้ คือ อุปาทานในสมมุติทั้งหลาย แตกกระจายจนโลกธาตุแห่งความเป็นเจ้าของหวั่นไหว

รู้นี้ก็คือ อุปาทานแห่งอวิชชา ที่มันยึดรู้ตามกระบวนการไม่ยอมปล่อย

เมื่อมันย้อนเข้ามาหาตัว รู้ทั้งหลาย แท้จริงแล้วมันไม่มี ที่มี มันเกิดจากเหตุและปัจจัยที่เป็นอวิชชา

คือต้นเหตุแห่งตัวการสร้างตัวมันเอง

เพราะเหตุปัจจัยมี รู้ทั้งหลายก็เลยมี เมื่อรู้ทั้งหลายมี อวิชชาก็เลยมี

อวิชชามี การปรุงแต่งแห่งดวงจิตก็เลยมี

การปรุงแต่งมี วิญญาณก็เลยมี

เมื่อวิญญาณมี สิ่งที่ผัสสะผ่านอายตนะที่เกิดจากนามรูปก็เลยมี

เมื่อผัสสะมี การปรุงแต่งในนามขันธ์แห่งวิญญาณก็เลยมี

การปรุงแต่งมี เวทนาก็เลยมี

เวทนานี้ คือตัวรู้อาการทั้งหลาย

รู้นี้จึงเป็นที่มาของเวทนา ที่อาศัยผัสสะ เกิดจากกรรม ในตัณหาที่มาจากอวิชชา

รู้ทั้งหลายนี้ มันจึงมีตัวตน อาศัยอุปาทานที่มีตัณหาเข้าไปยึด

เมื่อมีตัวตน รู้ทั้งหลาย ก็วางไม่ได้

ที่วางกันได้  เพราะมีตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของการวาง มันจึงเป็นวางที่เกิดจากตัวตนสมมุติวาง

ในความเป็นจริงก็คือยังไม่ได้วาง ที่วางอาศัยการมีตัวตนเข้าไปวาง

เพราะตัวรู้เป็นเหตุว่านี่คือการวาง กูวางแล้ว กูไม่เอาแล้ว กูรู้แล้ว นี่เป็นการวางแห่งการมีอัตต

สมมุตินี้ มาจากอวิชชา อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

ต่อมรู้นี้ มีอยู่ที่ไหน ที่นั้นแล..ย่อมมีภพ

นี่..ในพรรษาที่ 16 หลวงตามหาบัว ท่านเข้าถึงตรงนี้

และท่านปล่อยรู้นี้ไม่ได้ ถึงแปดเดือน ทั้งๆ  ที่รู้ทุกอย่างปล่อยทุกอย่างวางทุกอย่าง

แต่ทุกอย่างที่รู้ที่วาง มันต่างเป็นภพทั้งสิ้น เพราะมีกูวางและกูรู้เป็นต้นเหตุ..

โม้กันเล่นๆ  ยามดึก คืนนี้สวัสดี..

พระธรรมเทศนาจากบทธรรมเรื่อง ธรรมแห่งความหลุดพ้น…ธาตุที่ 5 ท่อนที่ 6  โดย  พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง  ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี ณ  21 สิงหาคม 2557