>> ลูกศิษย์ : พระอาจารย์ ขอรับ เช้านี้อยากฟัง เรื่อง การพิจารณา เบื้องต้น ว่ามีวิธีอย่างไรอะครับ เพราะผมสับสนมากเลยอะครับ พิจารณานี้ ใช้การคิด หรือเปล่าครับ
เพราะ เวลานั่ง ปฏิบัติ ตามที่พระอาจารย์สอน แบบนับ ลมหายใจเข้าออก 1-10 กลับไปกลับมา พอ มันรู้สึก สงบ ก็ไม่รู้ จะทำอย่างไรต่อไปครับ เลยกลายเป็นคิด นู่น คิดนี่ จิตฟุ้งซ่านไปเลยครับ
ขอความเมตตาช่วย ชี้แนะ วิธี ปฏิบัติเบื้องต้นให้หน่อยครับ. เพราะปัญญาผม มันยังโง่ และไม่เข้าใจอะครับสาธุ สาธุ สาธุ
<< พระอาจารย์ : วิธีการ มันเป็นเครื่องมือเพื่อเป็น
ส่วนความฟุ้งซ่านมันเป็นอาก
เมื่อสมาธิเกิด ปิติคือ อาการแห่งจิตก็จะเกิด เมื่อปิติเกิด ความสงบสุขก็จะเกิด เมื่อความสงบสุขเกิด อารมณ์อันเป็นหนึ่งก็จะเกิด
นี่..มันอาศัยกันมาอย่างนี้
แต่เช้านี้ไม่ว่างที่จะขยาย
>> ลูกศิษย์ : สาธุค่ะ แต่ยังปัญญาน้อยอยู่ ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจ สรุปสั้นๆ ได้ว่า จิตแท้นิ่งอยู่เมื่อมีสิ่งภ
<< พระอาจารย์ : ตอบ พณศร จิตแท้ มันไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ที่หวั่นไหว เป็นใจล้วนๆ และใจนี้ เป็นอาการของจิต ที่เกิดจากเหตุปัจจัย จากการผัสสะ
>> ลูกศิษย์ : พอจ. สาธยายธรรมได้แจ่มแจ้งมากทำ
<< พระอาจารย์ : เราคาดหวังกับนิพพานได้อยู่
ที่เหลืออยู่ที่เราจะใช้เคร
>> ลูกศิษย์ : กราบเรียนถามพระอาจารย์ตามค
ซึ่งจิตที่ถูกครอบอยู่ด้วยอ
แต่จิตที่มีปัญญาย่อมเข้าใจ
ตามขั้นของปัญญาที่มี จิตย่อมอยู่ในสภาวะรู้อย่าง
ตามนี้ผมเข้าใจถูกหรือไม่คร
<< พระอาจารย์ : ผู้รู้นี้ไม่ใช่ใจครับ BigBen Fam
ผู้รู้นี่ เป็นอาการแห่งใจ ที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิด และผู้รู้นี้ ก็ไม่ใช่จิต จิต ไม่มีผู้รู้อยู่ในนั้น ที่กล่าวว่า จิตรู้นั้น เป็นอาการหนึ่งของใจ ที่เข้าไปย้อมตัวจิต
เรื่องพวกนี้ รู้ไปก็ปวดหัวเปล่า มันสงสัยกันจนตายไปข้าง ช่างแม่มันเถอะครับ ฟังหนุกๆ ก็พอ
>> ลูกศิษย์ : กราบขอบพระคุณสำหรับคำสอนคร
ใจมันคือ การผัสสะของจิตที่ยังเคลือบ
<< พระอาจารย์ : BigBen Fam จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้
ในนิยามแห่งธรรม เราเข้าใจยังไง เราตั้งสมมุติใจ กล่าวออกมาได้หมด มันถูกอยู่แล้ว เพียงแค่ความถูกนั่น มันเป็นแค่ กาลใดกาลหนึ่งที่ถูกกาล
เมื่อใดที่เราแจ้งแทงตลอด นิยามแห่งธรรม ก็จะกล่าวได้ลงตัว กับกาลใดกาลหนึ่ง ที่เราต้องการแสดง
ตอนไม่แจ้ง ถูกทุกกาล เมื่อแจ้งแล้ว ผิดทุกกาล เพราะธรรมก็สมมุติ กาลก็สมมุติ เพียงแต่เราไม่รู้ว่า มันสมมุติยังไง
>> ลูกศิษย์ : จิตกับใจ ไม่เคยสังเกต
พิจารณาจนผัสสะนั้นดั
แต่ยังไม่มีเราหรือใจเก
ส่วนคอมเม้นแรกคืออ่านแล้วก
เพราะใจมันแสดงตัวทุกอย่
ขยะอย่างที่พระอาจารย์ว
<< พระอาจารย์ : สุเทพ ขำสุวรรณ นี่ถ้าสุเทพ ปลีกจากอุปาทานทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องร้อยรัด
สุเทพจะเป็นผู้ที่มีปัญญาวิ
พุทธศาสนาก็จะมีผู้มีกำลังท
>> ลูกศิษย์ : ด้วยความสงสัยจากการที่พิจา
เท่าที่ผมศึกษาและฝึกปฏิบัต
บางผัสสะอาจไม่ได้เห็นเป็นส
แต่เราสามารถถอดถอนการยึดเว
จิตย่อมไม่เสวยเวทนานั้น แม้อารมณ์เฉยๆ เราก็ต้องมองมันให้เห็นและเ
ดังนั้น คำว่าดับเวทนาที่พี่สุเทพกล
อย่างที่ผมเข้าใจใช่หรือไม่
ไม่มีครูอาจารย์คอยสอนให้คำ
<< พระอาจารย์ : การวางอุเบกขานี้ มันมีสองอุเบกขา BigBen Fam
อุเบกขาอย่างเราๆ มันเป็นอุเบกขาด้วย อำนาจแห่งความหลง ภาษาป่าๆ อย่างข้าก็คือ อุเบกขาอย่างควายๆ
ส่วนอุเบกขาในทางพุทธ เป็นอุเบกขาที่แก้ปม เหตุและผลลึกลงไปตามกำลังแห
ไม่ใช่ยอมรับด้วยความอับจนห
อุเบกขานี้ ไม่ใช่ความไม่รู้สึกทุกข์ร้
อักษรมันขาดองค์ประกอบกาล
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ใจกับจิต……….เป็นอากา