ใจกับจิต……….เป็นอาการแห่งอวิชชา

ใจกับจิต……….เป็นอาการแห่งอวิชชา

1449
0
แบ่งปัน
>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการพระคุณเจ้า ขอน้อมรับธรรมะเจ้าคะ ยากเหลือเกิน จิต กับ ใจ สงสัยโยมคงไม่มีปัญญาเจ้าคะใจกับจิต..........เป็นอาการแห่งอวิชชา
<< พระอาจารย์ : ไม่ยากๆๆๆ สาว..สาวกพระอรหันต์ จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆคำว่าใจนี้ มันเป็นอาการของจิต เป็นมายาแห่งจิต ที่แสดงผลออกมาเปรียบจิตเป็นน้ำ คลื่นทั้งหลายที่เกิดกับน้ำ ไม่ใช่น้ำมันเป็นคลื่น แต่อาการที่แสดงออกที่เห็นเป็นคลื่น มันเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่น้ำทำให้ตัวมันเกิดคลื่น พอเข้าใจไหม

คลื่นนั้น มันเป็นมายา อย่างหนึ่ง ที่อาศัยเหตุปัจจัย ทำให้น้ำเกิดการกระเพื่อม จนเป็นคลื่น เราเห็นแค่น้ำเป็นคลื่น แต่เราไม่เห็นว่าคลื่น ไม่ได้เกิดจากน้ำ

น้ำก็คือน้ำ มันอยู่ของมันเฉยๆ เป็นแต่มันโดนผัสสะจากภายนอก ตามเหตุปัจจัย ทำให้น้ำเกิดมีคลื่น อาการแห่งน้ำที่เป็นคลื่น เป็นผลจากการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย ไม่เกี่ยวกับน้ำ

อาการทั้งหลายที่เรารับรู้ว่าเป็นคลื่นนั่นแหละ เรียกว่าใจ อาศัยจิตอันเปรียบกับน้ำ เป็นตัวแสดงออกเมื่อโดนผัสส

อีกตัวอย่าง จิตก็เหมือนน้ำใสๆ แก้วหนึ่ง ที่โดนปรุงมาอยู่ในแก้วใสๆ แล้ว เมื่อเราย้อมสีเหลืองลงไป น้ำนั้นก็เป็น น้ำสีเหลือง น้ำสีเหลืองที่เราเห็น นั่นแหละเรียกว่าใจ ส่วนน้ำใสดั้งเดิม เรียกว่าจิต นี่..เทียบเคียงกันอย่างนี้

จิตเหมือนแผ่นดิน เราปลูกต้นไม้ลงไป กระบวนการตรงนั้น ทำให้เกิดผล ผลทั้งหลาย เรียกว่าใจ อาศัยจิต คือแผ่นดิน ในการแสดงออกแห่งผล

น้ำใสที่ย้อมสีเหลือง กลายเป็นน้ำสีเหลือง ย้อมรสลงไป ก็เป็นน้ำสีเหลืองตามรสที่ย้อม

ใส่กลิ่นลงไป ก็เป็นน้ำสีเหลือง ที่มีรส มีกลิ่น ตามที่ย้อม คือผัสสะกระทบกับน้ำใส

กระบวนการที่ผัสสะแล้วย้อมน้ำใสออกมาเป็นสีเหลือง เรียกว่าเจตสิก

เจตสิกคือ เจตนาใจที่เข้าไปปรุงแต่งจิต ให้เกิดผันแปรไปเป็น เวทนา

นี่ถ้าโม้มันก็ไหลลามออกไปยาวอีก เป็นอันว่า ใจก็คือภาวะปัจจุบันที่เป็นการแสดงออก ของอาการ ที่เกิดจากการมีเหตุปรุงแต่งจิต

เหตุนี้ คือสมมุติ สมมุตินี้มาจากอวิชชา อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

ผู้ปรุงแต่งจิตให้เกิดใจ ในที่นี้ คือใจที่ซ่อนอยู่ในรูปที่เป็นกายเราแล้ว ก็คือ อวิชชา

รูปที่โดนผัสสะ จะเป็นอายตนะ ทางช่องไหนก็แล้วแต่ ตัวแรกเรียกว่า อวิชชา ผัสสะแรกนี่ ไม่รู้

ที่รู้นั้น มันผ่านการปรุงแต่งด้วยกระบวนการแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณมาแล้ว เราจึงรู้ เรียกว่าการปรุงแต่งแห่งนาม มาเป็นรูป

และใส่สมมุติลงไปในรูปนั้น จึงได้รู้และรู้ว่า ไม่รู้ ว่านั้นคืออะไร การไม่รู้ก็ปรุงมาเสร็จแล้ว จึงเกิดรู้ว่าไม่รู้

การปรุงแต่งตรงนี้ นับจากผัสสะที่ไม่รู้ มาเป็นรู้ว่าอะไรเรียกว่า เจตสิก

เจตสิกนี้ เป็นกระบวนการแห่งนามขันธ์ ใจเริ่มจากตรงนี้ ผัสสะแล้วรู้เรียกว่าใจ ผัสสะแล้วไม่รู้ ก็เรียกว่าใจ

ผัสสะแล้วไม่ใส่สมมุติชื่อ เช่น มองท้องฟ้า แม่น้ำ ภูเขา หรือสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน หรือให้ความหมาย คือมองแล้วไม่ได้ให้นิยามแห่งความรู้

เหมือนเรากวาดตาไปเห็นทุกอย่าง เหมือนเราได้ยินเสียงทุกอย่าง ได้กลิ่นทุกอย่าง รสทุกอย่าง

เมื่อผัสสะแล้ว มันรู้อยู่ภายในสัญญา มันดับความสะดุ้งสะเทือน ต่อกายที่ผัสสะต่อสรรพสิ่ง

อย่างนี้ เรียกว่าเป็นภาวะแห่งจิต ที่มีรูปกายปัจจุบัน ดูเหมือนพวกเราจะงงๆ  หนักเข้าไปอีก

ผัสสะอะไรที่รู้แล้ว ดับแล้ว เท่าที่ปัญญามี เรียกว่าจิต อะไรที่รู้แล้ว แต่ยังมีการปรุง เรียกว่า ใจ

การปรุงนี้ มันปรุงเพราะเหตุแห่งผัสสะ จึงเป็นที่มาของ อวิชชา

อวิชชาตัวนี้ เป็นอวิชชาในรูปปัจจุบัน ที่ปรุงแต่งมาเป็นกายสังขารแล้ว

เมื่อกายสังขารที่เป็นปัจจุบัน โดนผัสสะ อวิชชาก็เกิด เรียกว่า อวิชชาแห่งเวทนา

อวิชชาแห่งเวทนาเกิด การปรุงแต่งแห่งเจตสิกก็เกิด เรียกว่า อวิชชาแห่งจิตสังขาร

อวิชชาแห่งจิตสังขารเกิด คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นนามที่ก่อเกิดขันธ์แห่งเรานี่แหละ ก็จะเกิดเป็น อวิชชาแห่งวิญญาณ

อวิชชาแห่งวิญญาณเกิด สมมุติแห่งรูปและนามก็เกิด เรียกว่า อวิชชาแห่งนามรูป

อวิชชาแห่งนามรูป จากกายปัจจุบันที่อาศัยอวิชชาเกิดตามกระบวนการก็คือ วัตถุบุคคล สิ่งของต่างๆ ในสรรพสิ่ง ที่อายตนะเกิดการผัสสะ

สิ่งที่รับรู้ทั้งหลายเหล่านั้น เรียกว่า เวทนา

เวทนาตัวนี้ เป็นเวทนาที่โดนปรุงแต่งตามกระบวนการ มีสมมุติแห่งอวิชชา ปรุงแต่งเรียบร้อยแล้ว

ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี้ เป็นเวทนา ที่จะสร้าง ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติต่อเนื่องขยายออกไปอีก

กระบวนการเหล่านี้ อาศัยเกิดซึ่งกันและกัน เรียกว่า อิธทัปปัจยตา เมื่อเวียนมาครบกาล เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นี่..มันอาศัยกันมาอย่างนี้

หากเข้าใจกระบวนการ โดยการปฏิบัติ วิปัสสนา จนแทงแจ้งตลอดสาย เราจะเข้าใจได้เลยว่า

สรรพสิ่งล้วนอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ไม่ใช่เราทำให้เกิด ไอ้คำว่าเรานี้ มันเป็นแค่ตัวเสือก…ในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย

ใจนี้ เป็นขยะของสังขารในอัตภาพ เมื่อสิ้นสังขาร ใจก็สลายไปด้วย ใจมันโดนธรรมชาติ เผาทำลายดุจขยะที่ไร้ความหมาย

ที่เหลือไว้ธรรมชาติทำลายไม่ได้ ก็คือ จิต ที่อาศัยกระบวนการแห่งใจ บันทึกเก็บไว้ในภวังค์จิต

นี่..เป็นจิตที่เป็นอวิชชาล้วนๆ เพราะยังไม่ได้สางไม่ได้ฟอกเรียกว่าบันทึกเอามาดิบๆ จากใจ ที่ส่งเข้ามา

จิตทั้งหลาย จึงเป็นจิตที่ก่อกำเนิดมาจาก อวิชชา ที่ว่าจิตเดิมประภัสสรนั้น ไม่มี ที่มีและคิดว่าจิตเดิมประภัสสร

เพราะจิตมันยังไม่มีใจเข้าไปแสดงอาการเสือก ในการเป็นเจ้าของ เรียกว่า มันยังบริสุทธิ์จากใจ เกิดมีรูปเป็นรูปเมื่อไหร่ จิตมีใจเป็นเครื่องย้อมบันทึกนั่นนี่ทันที

ใจนี่แหละ ที่ทำให้เกิดความเหี้ยยย ไม่ใช่จิตมันเหี้ยยย ใครที่ชอบทำ พูด คิด ไปตามอำเภอใจ

พวกนี้เรียกว่า เป็นพวกขาดสติ จิตก็เลยบันทึกความเป็นเหี้ยยยไปกับเขาด้วย

แต่ใจเหี้ยๆ นี้ ไม่ต้องกลัว มันเหี้ยแค่อัตภาพเดียว เหี้ยมาก ก็ไปฟอกในนรก เหี้ยน้อยก็ไปฟอกในสวรรค์ ถ้าพอดีๆ ก็มาสร้างมาย้อมจิตกันใหม่ ในโลกมนุษย์

หากใจได้รับการอบรมด้วยสติ ที่เป็นศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ปัญญานี้ก็จะไปฟาดฟัน อุปาทานแห่งใจที่เข้าไปย้อมจิต

ปัญญาที่แหลมคม ที่เกิดจากการอบรมใจมา ก็สามารถสางจิต ให้กลายเป็นจิต ที่ปราสจากอวิชชา ที่เกิดกับใจได้

ใจที่ได้ย้อมด้วยปัญญาบ่อยๆ ก็จะทำให้การฟอกจิต ทำลายอุปาทานทั้งหลาย เหมือนน้ำใสที่หยดลงไปในน้ำเหลือง ที่มีกลิ่นและรส

น้ำที่หยดไหลรินอยู่เนืองๆ ย่อมเป็นน้ำใสที่ใหญ่และเต็มปริมาณ ขจัด สีกลิ่นรส แห่งน้ำที่เป็นสีเหลือง ให้กลับมาเป็นน้ำใสได้ โดยที่สีเหลือง กลิ่นและรส มันก็ยังซ่อนตัวอยู่ในน้ำใสนั้นแหละ

เป็นเพียงแต่องค์ประกอบน้ำใส ที่ไม่มีค่าอะไรเลย ก็เท่านั้น

นี่…คือภาวะพอสังเขปในเรื่องของใจและจิต

เรื่องจิตกับใจมันละเอียดและลึกซึ๊ง ยิ่งอธิบายก็ยิ่งงง เพราะเป็นเรื่องเกินภูมิ แต่ก็เป็นยานอนหลับขนานดี อ่านวนด้วยความตั้งใจหลายๆครั้ง ปัญญาเราก็จะแยกได้

ธรรมที่โม้มานี้ เป็นธรรมที่ผู้ฟังพอมีภาชนะรอบรู้ธรรมมาพอสมควรแล้ว หากมาฟังเอาโดยไม่เคยเรียนรู้ งงกันชิบหายวายป่วง และไม่รู้เรื่องเอาซะเลย

แต่หากฟังแล้วพอเข้าใจตามได้ แสดงว่า ท่านเป็นผู้มีปัญญามาทางธรรมที่ลึกซึ๊งทีเดียว

ขอให้มั่นใจ ไม่นานท่านพ้นออกไปจากทุกข์ได้ เพราะการออกจากทุกข์ มันมีเครื่องมือเดียว คือ…เกิดปัญญาที่มันเข้าใจแล้วว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง..

เช้านี้ต้องขอจบพอเพียงแต่เพียงเท่านี้ กับธรรมะสดๆ ยามเช้า ขอให้ทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญ และมีดวงตาเห็นธรรมเทอญ…หวัดดี

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ใจอยู่ตรงไหน…. ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง