คลื่นนั้น มันเป็นมายา อย่างหนึ่ง ที่อาศัยเหตุปัจจัย ทำให้น้ำเกิดการกระเพื่อม จนเป็นคลื่น เราเห็นแค่น้ำเป็นคลื่น แต่เราไม่เห็นว่าคลื่น ไม่ได้เกิดจากน้ำ
น้ำก็คือน้ำ มันอยู่ของมันเฉยๆ เป็นแต่มันโดนผัสสะจากภายนอ
อาการทั้งหลายที่เรารับรู้ว
อีกตัวอย่าง จิตก็เหมือนน้ำใสๆ แก้วหนึ่ง ที่โดนปรุงมาอยู่ในแก้วใสๆ แล้ว เมื่อเราย้อมสีเหลืองลงไป น้ำนั้นก็เป็น น้ำสีเหลือง น้ำสีเหลืองที่เราเห็น นั่นแหละเรียกว่าใจ ส่วนน้ำใสดั้งเดิม เรียกว่าจิต นี่..เทียบเคียงกันอย่างนี้
จิตเหมือนแผ่นดิน เราปลูกต้นไม้ลงไป กระบวนการตรงนั้น ทำให้เกิดผล ผลทั้งหลาย เรียกว่าใจ อาศัยจิต คือแผ่นดิน ในการแสดงออกแห่งผล
น้ำใสที่ย้อมสีเหลือง กลายเป็นน้ำสีเหลือง ย้อมรสลงไป ก็เป็นน้ำสีเหลืองตามรสที่ย
ใส่กลิ่นลงไป ก็เป็นน้ำสีเหลือง ที่มีรส มีกลิ่น ตามที่ย้อม คือผัสสะกระทบกับน้ำใส
กระบวนการที่ผัสสะแล้วย้อมน
เจตสิกคือ เจตนาใจที่เข้าไปปรุงแต่งจิ
นี่ถ้าโม้มันก็ไหลลามออกไปย
เหตุนี้ คือสมมุติ สมมุตินี้มาจากอวิชชา อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้
ผู้ปรุงแต่งจิตให้เกิดใจ ในที่นี้ คือใจที่ซ่อนอยู่ในรูปที่เป
รูปที่โดนผัสสะ จะเป็นอายตนะ ทางช่องไหนก็แล้วแต่ ตัวแรกเรียกว่า อวิชชา ผัสสะแรกนี่ ไม่รู้
ที่รู้นั้น มันผ่านการปรุงแต่งด้วยกระบ
และใส่สมมุติลงไปในรูปนั้น จึงได้รู้และรู้ว่า ไม่รู้ ว่านั้นคืออะไร การไม่รู้ก็ปรุงมาเสร็จแล้ว
การปรุงแต่งตรงนี้ นับจากผัสสะที่ไม่รู้ มาเป็นรู้ว่าอะไรเรียกว่า เจตสิก
เจตสิกนี้ เป็นกระบวนการแห่งนามขันธ์ ใจเริ่มจากตรงนี้ ผัสสะแล้วรู้เรียกว่าใจ ผัสสะแล้วไม่รู้ ก็เรียกว่าใจ
ผัสสะแล้วไม่ใส่สมมุติชื่อ เช่น มองท้องฟ้า แม่น้ำ ภูเขา หรือสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน หรือให้ความหมาย คือมองแล้วไม่ได้ให้นิยามแห
เหมือนเรากวาดตาไปเห็นทุกอย
เมื่อผัสสะแล้ว มันรู้อยู่ภายในสัญญา มันดับความสะดุ้งสะเทือน ต่อกายที่ผัสสะต่อสรรพสิ่ง
อย่างนี้ เรียกว่าเป็นภาวะแห่งจิต ที่มีรูปกายปัจจุบัน ดูเหมือนพวกเราจะงงๆ หนักเข้
ผัสสะอะไรที่รู้แล้ว ดับแล้ว เท่าที่ปัญญามี เรียกว่าจิต อะไรที่รู้แล้ว แต่ยังมีการปรุง เรียกว่า ใจ
การปรุงนี้ มันปรุงเพราะเหตุแห่งผัสสะ จึงเป็นที่มาของ อวิชชา
อวิชชาตัวนี้ เป็นอวิชชาในรูปปัจจุบัน ที่ปรุงแต่งมาเป็นกายสังขาร
เมื่อกายสังขารที่เป็นปัจจุ
อวิชชาแห่งเวทนาเกิด การปรุงแต่งแห่งเจตสิกก็เกิ
อวิชชาแห่งจิตสังขารเกิด คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็นนามที่ก่อเกิดขันธ์แ
อวิชชาแห่งวิญญาณเกิด สมมุติแห่งรูปและนามก็เกิด เรียกว่า อวิชชาแห่งนามรูป
อวิชชาแห่งนามรูป จากกายปัจจุบันที่อาศัยอวิช
สิ่งที่รับรู้ทั้งหลายเหล่า
เวทนาตัวนี้ เป็นเวทนาที่โดนปรุงแต่งตาม
ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี้ เป็นเวทนา ที่จะสร้าง ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติต่อเนื่องขยายออกไปอีก
กระบวนการเหล่านี้ อาศัยเกิดซึ่งกันและกัน เรียกว่า อิธทัปปัจยตา เมื่อเวียนมาครบกาล เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นี่..มันอาศัยกันมาอย่างนี้
หากเข้าใจกระบวนการ โดยการปฏิบัติ วิปัสสนา จนแทงแจ้งตลอดสาย เราจะเข้าใจได้เลยว่า
สรรพสิ่งล้วนอาศัยเหตุปัจจั
ใจนี้ เป็นขยะของสังขารในอัตภาพ เมื่อสิ้นสังขาร ใจก็สลายไปด้วย ใจมันโดนธรรมชาติ เผาทำลายดุจขยะที่ไร้ความหม
ที่เหลือไว้ธรรมชาติทำลายไม
นี่..เป็นจิตที่เป็นอวิชชาล
จิตทั้งหลาย จึงเป็นจิตที่ก่อกำเนิดมาจา
เพราะจิตมันยังไม่มีใจเข้าไ
ใจนี่แหละ ที่ทำให้เกิดความเหี้ยยย ไม่ใช่จิตมันเหี้ยยย ใครที่ชอบทำ พูด คิด ไปตามอำเภอใจ
พวกนี้เรียกว่า เป็นพวกขาดสติ จิตก็เลยบันทึกความเป็นเหี้
แต่ใจเหี้ยๆ นี้ ไม่ต้องกลัว มันเหี้ยแค่อัตภาพเดียว เหี้ยมาก ก็ไปฟอกในนรก เหี้ยน้อยก็ไปฟอกในสวรรค์ ถ้าพอดีๆ ก็มาสร้างมาย้อมจิตกันใหม่ ในโลกมนุษย์
หากใจได้รับการอบรมด้วยสติ ที่เป็นศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ปัญญานี้ก็จะไปฟาดฟัน อุปาทานแห่งใจที่เข้าไปย้อม
ปัญญาที่แหลมคม ที่เกิดจากการอบรมใจมา ก็สามารถสางจิต ให้กลายเป็นจิต ที่ปราสจากอวิชชา ที่เกิดกับใจได้
ใจที่ได้ย้อมด้วยปัญญาบ่อยๆ
น้ำที่หยดไหลรินอยู่เนืองๆ ย่อมเป็นน้ำใสที่ใหญ่และเต็
เป็นเพียงแต่องค์ประกอบน้ำใ
นี่…คือภาวะพอสังเขปในเรื
เรื่องจิตกับใจมันละเอียดแล
ธรรมที่โม้มานี้ เป็นธรรมที่ผู้ฟังพอมีภาชนะ
แต่หากฟังแล้วพอเข้าใจตามได
ขอให้มั่นใจ ไม่นานท่านพ้นออกไปจากทุกข์
เช้านี้ต้องขอจบพอเพียงแต่เ
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ใจอยู่ตรงไหน…. ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง