กรวดน้ำ…จำเป็นไหม

กรวดน้ำ…จำเป็นไหม

1096
0
แบ่งปัน

>> คำถาม : กราบนมัสการ พระอาจารย์เจ้าค่ะเมื่อเช้าไปวัดนึงมา เป็นวัดสถาบันพุทธวจน นั่งฟังเรื่องทำบุญแล้วต้องกรวดน้ำหรือไม่ ได้คำตอบว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติสอนไว้ แต่ในตำราเรื่องเล่าที่หนูเคยอ่านพุทธประวัติมาก็มี กรวดน้ำใช่มั้ยค่ะ

กรวดน้ำ...จำเป็นไหมอีกคนถามว่า 

หนูงงกับพระจริงๆ อีกที่บอกต้องกรวดน้ำ อีกที่บอก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องกรวดน้ำ ตกลงพระอาจารย์ช่วยขยายธรรมให้หนูหน่อยค่ะ หนูเป็นชาวพุทธที่งงกับพวกพระมากๆ ไม่รู้จะเชื่อใครดี

<< พระอาจารย์ : ที่นั้นเข้าใจความหมายไม่ถูกกาลน่ะหนู

ทำบุญแล้ว บางคนที่ต้องการแผ่ไปให้ผู้อื่น เรียกว่า มุทิตาจิต นี่ก็มี

การกรวดน้ำ จะกรวดน้ำก็ได้ ไม่กรวดก็ได้ แค่ตั้งจิตระลึกนึกถึง ก็เป็นการแผ่กุศลแล้ว

การกรวดน้ำนี้ เป็นพิธีแห่งพราหมณ์ เขาถือว่า ได้ชำระบอกกล่าว พระแม่ธรณี

ก็ในวันที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ พระแม่ธรณี ก็ออกมายืนยัน ว่าทุกครั้งที่ท่านได้กระทำบุญแผ่เมตตาบารมี พระแม่ธรณี ได้น้อมเศียรเข้าไปรับทุกครั้ง มีจำนวนมากมายมหาศาล เพื่อยืนยันให้แก่เหล่ามารว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสจริง

เมื่อทรงบีปผมมวยออกมายืนยัน น้ำอันมากมายก็ไหลออกมามหาศาล จนเหล่าหมู่มารจมกันไป

นี่…แม้จะเป็นเรื่องแต่ง แต่ก็ชี้มูลว่า พุทธศาสนา มีการกรวดน้ำมาก่อนการบำเพ็ญสำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้าอีก

และอาศัยการกรวดน้ำ เป็นเครื่องยืนยันเจตนา มาหลายๆ อสงไขย

เพราะฉะนั้น ทางพุทธถือว่าการกรวดน้ำ อยู่คู่กันมาตลอด สองพันห้าร้อยกว่าปี

แต่เราจะกรวดหรือไม่กรวด ไม่เป็นเรื่องสำคัญหรอกจ้า ทำบุญแล้วมีความสุขมีความยินดี ก็โอเคแล้ว

>> ลูกศิษย์ 1 : แล้วเขาหละ เป็นอะไร สาวกหรือพระพุทธเจ้า นู๋ก้องง กับเขา ตกลง ต้องฟังใคร

<< พระอาจารย์ : ธรรมะนั้น สิ่งใดเป็นธรรมก็คือธรรม ธรรมนั้นจะเป็นใครชี้ หากผู้ชี้เข้าถึงความเป็นตถาตา ย่อมเป็นธรรม

พวกที่คิดว่า นั่นของพระพุทธเจ้า นี่ของสาวก นี่มันบ้าพระพุทธเจ้า มันโต่งหลายๆ เอาความคิดแห่งตนเข้าไปตัดสิน ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าถึงธรรมซักคน ข้าขอยืนยัน เพราะผลแห่งความโต่งแห่งธรรม มันแสดงผลแห่งธรรม ที่พวกเขาเป็นกันอยู่

ข้านี่ได้รับคำถามแบบงงๆ ของผู้ที่ฟังความมาหลายท่านแล้ว มันเลยเพี้ยนไปซะหมด คำในพระไตรปิฏก ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าฉบับไหน มันก็ลอกเขามากันทั้งนั้นแหละ

จะมาอ้างว่าเล่มโน้นใช่ เล่มนี้ไม่ใช่ มันมีอายุกันแค่ไหน ถึงได้ยืนยันกันขนาดนั้น

>> ลูกศิษย์ 2 : บางคนก็ยึดกับศัพท์บาลี พูดไทยคำบาลีคำ แต่พอถามเข้าจริงๆ คำที่เขาใช้อยู่ก็ตัวผู้ใช้เองยังไม่รู้ว่าคืออะไร

<< พระอาจารย์ : นี่เป็นผลแสดงอย่างชัดว่า โต่งอยู่ และยึดหลายๆ มันฟังดูแล้วเท่ห์ กับคำศัพท์ยากๆ ที่ได้ท่อง ได้อวด เป็นกันเพียงแค่นั่น

>> ลูกศิษย์ 2 : หลวงตาวันนี้มีคนมาถามเรื่อง การกินอาหารสุกๆ ดิบ ว่าทำให้นั่งสมาธิยาก จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกันไหมค่ะ ว่ากินของดิบของแดงแล้วจะทำให้นั่งสมาธิยาก

<< พระอาจารย์ : ไม่เกี่ยวกันหรอก ถ้าไม่ปวดท้อง

พวกยึดพุทธวจนนี่ ทำให้หมู่เหล่าแตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย ส่วนใหญ่เรียกว่าเป็นพวกยึดดี ตนดีมีความรู้ธรรม ตรงตามพระพุทธองค์ชี้แนะ คนอื่น เหี้ยยยหมด เพราะมีธรรมไม่ตรง เป็นธรรมสาวก โหยยย..มันบ้าแท้

เวลาตอบคำถามคนที่จี้ตรงๆ ก็ตอบแบบเลี่ยงบาลี ยกแต่พระสูตรมาอ้าง แหม..มาหาข้าซักคนเหอะ ไอ้ที่จำพระสูตรเจ๋ง ข้าจะหวดด้วยธรรมอย่างป่าๆ นี่แหละ

พวกผู้ดี ผู้มีธรรมอันวิจิตรทั้งหลาย จำแบบท่อง มันเข้าใจธรรมกันตรงไหน อธิบายปลีกย่อยเหตุและผลลงไปซิ จึงพอจะเข้าใจกันได้

คนกลุ่มหนึ่งมันก็เลวพอๆ กันหมด พอมีซักคนไปรับธรรมดีๆ รู้ดีๆ และคิดว่านี่เป็นสิ่งดี รับแล้วกลับมาประนามว่า ไอ้คนในกลุ่มทั้งหมดนี่ มันเลว พระพฤติผิด เป็นพวกเหี้ยระยำแท้

ต้องอย่างที่เจ้าตัวรู้มานี่ซิดี เป็นคนดี ตามอย่างสัตบุรุษ นี่..พวกคิดว่าตนดี ดันมาด่าคนที่อยู่ร่วมกันว่าเหี้ยซะนี่ ทั้งๆที่ในกลุ่ม ไม่มีใครว่าใครให้เศร้าหมองว่าพวกเขาทั้งหลายเป็นคนไม่ดี มีแต่คนดีๆ ที่ไปชี้ว่าเขาไม่ดี นี่..มันดีตรงไหน

คนดีแต่ว่าคนอื่นไม่ดี ไอ้นี่มันเลว.. นี่..พวกยึดความดี ขึ้นชื่อว่ายึดมันก็เป็นมิจฉาทั้งนั้นแหละ

ไอ้พวกที่ชั่ว มันก็ไม่ไปด่านี่หว่า ว่าไอ้เวรนี่ มันคนดี มีแต่ไอ้คนดี ที่ไปด่าไปว่าเขา ว่าไอ้พวกนี้น่ะชั่ว นี่…พวกยกตนข่มท่าน

สมัยโบราณ มันก็ทะเลาะกันเรื่องพวกนี้แหละ อีกฝ่ายรับฟังมาจากครูบาอาจารย์ ผู้บรรลุ อีกฝ่ายรับธรรมมาจากการเล่าเรียน อ้างว่า นี่เป็นคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ ต้องเอาอย่างนี้

นิกายเลยแตกแยกกันชิบหายวายป่วงหมด นี่เพราะยึดตำรากันเป็นเหตุ ต้องให้นมลูกน้อยๆ  กันแล้ว ขอพักก่อน

พระแม่ธรณีนี่ ชื่อพระนาง วสุนทราอะไรนี่แหละ ได้ขึ้นมายืนยัน การกรวดน้ำ ของพระพุทธองค์เจ้า นี่..เป็นเครื่องยืนยันความเชื่อมาแต่โบราณ ที่จริง จะเป็นคำสาวก หรือจะเป็นคำแห่งพระพุทธองค์ เราแค่เรียนรู้ไว้ก็พอ ไม่ควรนำมาแยกแยะ และกีดกัน กันขนาดนี้

เพราะจะเป็นการทำลาย ประเพณี จะเป็นธรรมจริงหรือไม่จริงก็ตาม ผู้มีปัญญาย่อมตัดสินใจเลือกเองได้ ไม่จำเป็นให้ใครมาตัดสินให้

เราที่เป็นสงฆ์ ก็แค่จำแนกแยกออกมาชี้ ว่าอย่างนี้ควรไม่ควร ไปตามวาระธรรมที่ตนมีปัญญา ไม่ใช่ ไปตัดรอนหรือตัดธรรม โดยการตัดสินใจ เอาความคิดของตนเอง เข้าไปตัดสิน

พุทธวจน อันดีงาม ก็เลยถูกอีกฟากหนึ่งเมิน และไม่อ่าน ไม่ฟังแม่งมันซะเลย นี่เพราะเหตุแห่งเกลียดคน ทั้งๆ ที่พุทธวจน ไม่เกี่ยวกันกับคน ที่ยัดเยียดกันซักหน่อย

แต่ธรรมชาติคน เมื่อไม่ชอบแนวความคิด มันก็พาลไปถึงวัตถุสิ่งของด้วย ก็เลยทะลาะกันไม่หยุด เลยกลายเป็นเสื้อ พุทธวจน กับ เสื้อ พุทธสาวก กันขึ้นมาอีก

ข้าเห็นแทงกันชิบหาย ด้วยคำพูดคำจา เอาเป็นว่า อะไรที่คิดว่าดี เราก็เอาไปอย่างนั้น เรื่องกรวดน้ำนี่ จะกรวดหรือไม่กรวดก็ได้

ข้าเองเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้กรวด ใช้การแผ่กุศลทางจิตแทน เพราะครั้งหนึ่ง มัวแต่หาที่ใส่น้ำ หาบทมนต์ ผีที่มารับมันก็หายไปแล้ว ไม่ต้องรับสดๆ กันพอดี ไม่กรวดก็ถึง

แต่บางผีต้องกรวดน้ำให้ เขาจึงจะรู้สึกว่า ได้รับอย่างสมบรูณ์ นี่เพราะความทรงจำเขามันบันทึกมาอย่างนั้น มันมีความเคยชินอยู่ ไม่กรวดให้ รู้สึกว่า มันไม่ถึง ทั้งๆ ที่ก็ถึงนั่นแหละ แต่ก็ต้องเอาซักหน่อย โดยเฉพาะ พวกผีเก่าๆ ตายมานานๆ มันมีความเคยชิน บันทึกอยู่

เรามันคนไทย ปลูกฝังกันมาอย่างนี้ ทำแล้วก็ใช่ว่าจะเสียหายอะไร มันเป็นการสร้างกำลังใจ ว่าเราได้กระทำแล้วเท่านั้น จะกรวดก็ได้ไม่กรวดก็ได้ ตรงนี้ไม่เป็นไร

แต่ถ้าจิตเรากล้าแข็ง ระลึกถึงบุญ แล้วอุทิศเลย ถึงเหมือนกัน ไม่ต้องยุ่งยากด้วย โอเคนะ คืนนี้ ขอหวัดดี จะเที่ยงคืน แล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง