มีคำถามมาว่า… เรื่องที่โม้นี้ ทำไมแต่ละท่านจึงไม่ได้เจอก
แต่หากเราฟังกันหนุกๆ จะจริงหรือไม่จริง มันก็แค่อากาศ พูดคุยกันไปตามประสาพี่ๆ น้องๆ อย่างนี้
จริงไม่จริง ไม่ใช่ปัญหา ธรรมที่เสาวนา ทั้งในแง่ธรรมและความตื้นลึ
คนมีปัญญาจะเห็นว่า มันลึกซึ๊ง อย่างไม่เคยเจอมาก่อน นี่เป็นเพราะประจักษ์ใจเช่น
ตรงนั้นก็น่าจะแปลกเหมือนกั
แต่นัยยะแห่งธรรม มันเป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ การเข้าถึงได้ ต้องมีปัจจัยและองค์ประกอบห
จะอธิบายว่าทำไมถึงแต่ละคน ถึงเผชิญกันมาไม่เหมือนกัน เพราะได้ตอบคำถาม ให้น้องคนหนึ่งไปเป็นการส่ว
คำถามที่ว่า ทำไมพระผู้บรรลุบางท่านหรือ
จึงขออธิบายพอคราวๆ ว่า…..
จริตและวาสนาบารมีในแต่ละคน
แม้พระอรหันต์เอง ยังแบ่งระดับบารมีจิตหลายระ
และในแต่ละระดับ ก็ยังแยกย่อยออกไปตามบารมีท
ประสบการณ์ทางจิตในแต่ละท่า
พุทธศาสนา ดำเนินมาทางปัญญา สิ่งนอกเหนือจากนี้ เป็นภาวะทางจิต ซึ่งแต่ละคน มีวิบากการเผชิญไม่เหมือนกั
บางท่านเผชิญมามากมาย แต่พูดไปไม่มีใครเชื่อ เขาจะปรามาสเอา จึงไม่พูดไม่เล่าก็มี
บางท่านไม่เผชิญอะไรเลย จึงไม่มีเรื่องประสพการณ์แป
การเข้ามาสู่เพศบรรพชิต ใช่ว่า จะก้มหน้าก้มตา หลับตาภาวนา นั่นมันคิดเอาเองแล้ว
เอาการปฏิบัติด้วยท่าทางมาเ
บางท่านไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่ก็เข้าถึงธรรมได้ นี่..ก็มีมากโข เรามันแค่นักคิดเอาว่า ว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนี้ ความคิดนี้ อย่าไปยึดกับมันนักเลย
เราฟังเราอ่านหนุกๆ ก็พอ จริงไม่จริง ใช่ ไม่ใช่ มันก็เป็นแค่อากาศสำหรับเรา
จริงเรา ไม่จริงคนอื่นมันก็มี ไม่จริงเรา แต่จริงคนอื่นมันก็มี มันมีเป็นธรรมดาอย่างนี้ อย่าไปยึดอะไรกับมันมากเลย ว่ามันจริงหรือไม่จริง จริงก็แค่นั้น ฟังเขาว่า ไม่จริงก็แค่นั้น ฟังเขาว่าเช่นกัน เสือกไป ก็ปวดกระโหลกเปล่าๆ เอาหนุกๆ กันก็พอ…ไอ้น้อง
>> คำถาม : ช่องทางเมื่อก่อน กับสมัยนี้ต่างกัน / เมื่อก่อนต้องนั่งล้อมวง จึงจะได้ฟังธรรม ตอนนี้ ล้อมวง ตั้งจิตกันหน้าจอ ได้พร้อมๆ กันเป็นสิบ เป็นร้อยคน เพื่อฟังธรรม /
<< พระอาจารย์ : ได้จ้า Fox ด้วยความยินดี หน้าเพจนี้ มีแต่ธรรมเท่านั้น และเป็นธรรมที่ไหลออกมาเป็น
การที่จะเข้าไปรู้อะไรที่มั
การมีปัญญาได้ และเป็นปัญญาที่มองเห็นความ
เพราะความที่ไม่เหมือนกัน ก็ต้องมาดูธรรมอีกว่า มันเป็นธรรมที่แสดงโดยลอกเข
ผู้เข้าถึงธรรมใช่ว่าจะรู้ไ
เรายื่น ไอโฟนห้าให้พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ มันก็คงเป็นแค่วัตถุเหมือน ไม้ท่อนหนึ่ง เพราะเปิดและเล่นไม่เป็น
แม้พระอรหันต์ หากจะรู้สิ่งเหล่านี้ มันก็ต้องให้ผู้ไม่เข้าถึงธ
บางคนเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
รู้อย่างนั้น หากเจอผู้รู้ ย่อมตายสนิท เพราะไม่รู้จริง เพราะแม้โจร ก็กล่าวได้ว่าสิ่งซ่อนเร้นท
ปัตจัตตัง เป็นความรู้เฉพาะตน หากความรู้นั้น เป็นรู้แจ้งแทงตลอดสาย ปัจจัตตังนั้น ก็เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถ อธิบายได้ ด้วยเหตุด้วยผล มีการคำอธิบายชี้แจงให้ผู้อ
ไม่งั้น พระธรรมคำชี้แนะก็คงไม่มี เพราะธรรมทั้งหลายเป็นเรื่อ
โจรเท่านั้น ที่บอกว่า รู้ยาก ตามยาก อธิบายไม่ได้ หากอธิบายไม่ได้ ย่อมไม่ใช่ปัญญารู้แจ้ง แห่งปัจจัตตัง มันเป็นปัจจัตังอย่างคนไม่ร
เมื่ออธิบายไม่ได้ บอกไม่ถูก แล้วมาบอกว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นเรื่องปัจจัตตัง นี่มันพวกโง่หลาย มันใช้วิธีหาตัวรอดกัน
ขึ้นชื่อว่าธรรม แม้ซ่อนลึกลับเร้นแค่ไหน ผู้มีปัญญา ย่อมคลี่คลายออกมาให้เห็นได
เพราะผู้รู้แจ้ง ย่อมเห็นเหตุ ย่อมเห็นผล ย่อมเห็นกาล ย่อมเห็นความเป็นจริง ว่าธรรมชาติในแต่ละสิ่ง มันอาศัย เหตุปัจจัตจัย สืบๆ กันมา
ไม่ใช่ว่า จู่ๆ มันจะเกิดกันขึ้นมาเองซะเมื
สีเขียวก็รู้ว่าเขียว แดงก็รู้ว่าแดง ต้นไม้ก็รู้ว่าต้นไม้ มันตื่นขึ้นมาเห็นอยู่ประจั
หากรู้ไม่จริง อธิบายไม่ได้ ผลมันก็แสดงออกอยู่ ว่ายังไม่รู้จริง สิ่งที่ยังไม่รู้จริง จะมาบอกว่ามันเป็นเรื่องปัจ
ฉะนั้น ธรรมอันใดเกิดแต่เหตุ ตถาคต กล่าวถึงเหตุและการดับเหตุน
ั้น ย่อมอธิบายได้เสมอ สำหรับผู้รู้ เพราะความที่รู้เหตุรู้ผล รู้ปัจจัยที่มาแห่งเหตุและแ ห่งผล ท่านจึงอธิบาย ตามหลักแห่งกฏ อิทัปปัจจยตาได้ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ นี่ ..ธรรมมันเป็นหลักเหตุหลักผ
ลอยู่อย่างนี้ ธรรมจึงเป็นวิทยาศาสตร์ ที่เปิดกว้างให้เข้าไปทดสอบ
แต่เมื่อเราทดสอบไม่ได้ เพราะใจมันกว้างภาชนะไม่เพี
แล้วใครเล่าคือปราชญ์ ในเมื่อเราเองก็ไม่รู้ได้ เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงชี้ไว
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเขาพูดต
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะการประพ
อย่าเพิ่งเชื่อ คำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อการคาดเดาคาด
อย่าเพิ่งสุมเดา
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเข้ากับ
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเขามีภู
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเหตุแห่
เท่าไหร่ ครบยังวะนี่ นี่แหละ ประมาณนี้
อ้อ..และอย่าเพิ่งเชื่อและต
การที่จะปักใจเชื่อได้ ก็ต้องเชื่อหมดทั้ง 10 ข้อนี่แหละ การเชื่อนั้นจะมาบอกว่า ห้ามเชื่ออย่างนั้น ห้ามเชื่ออย่างนี้ แล้วไม่อธิบายให้เหตุผล ว่าทำไมต้องห้าม อย่างนี้ ย่อมไม่ใช่วถีพุทธ
ท่านได้กล่าวความว่า อย่าเพิ่งเชื่อ แต่ไม่ได้บอกว่า ไม่ให้เชื่อ การอย่าเพิ่งเชื่อ แสดงว่าต้องมีนัยยะธรรม ไม่งั้น โลกนี้ก็เชื่ออะไรไม่ได้เลย
ฉะนั้น มันต้องมีกุญแจ ไขความเชื่อนั้น กุญแจไขความเชื่อนั้น คืออะไร..??
กุญแจนั้น ก็คือ ผู้พูด เป็นคนมีโลภหรือเปล่า หากเป็นคนยังโลภอยู่ ยังมีความต้องการเป็นไปเพื่
สิ่งที่แสดงออกมาย่อมเชื่อไ
ชนเช่นนี้ ย่อมเชื่อไม่ได้ เช่นกัน ผู้ที่ยังโกรธอยู่ ยังอาฆาตพยาบาทอยู่ ไม่ได้ดั่งใจแล้วแสดงออกอย่า
และกับผู้ที่ยัง หลงอยู่ เป็นผู้ยึดนั่นยึดนี่หลายๆ อยู่ ต้องอย่างนั่นต้องอย่างนี้ ถอดถอนใจตนเองไม่ได้อยู่ เป็นไปเพื่อความโลภ ความโกรธ ความไม่ได้ดั่งใจอยู่ พูดง่ายๆ ว่า ยังยึดหลายๆ อยู่ บุคคลเช่นนี้ ก็ย่อมเชื่อไม่ได้
ในที่นี้ พระพุทธองค์ท่านกล่าวเพื่อย
พระพุทธองค์เอง เป็นกษัตริย์ย่อมมีโภคทรัพย
นี่แสดงว่า พระพุทธองค์ไม่ใช่ผู้โลภ ไม่เป็นไปเพื่อให้ได้มา เพื่อความเสน่หา เพื่อความศรัทธา หรือแสวงหาพวกพ้องใดๆ พระพุทธองค์ย่อมบริสุทธิ์จา
พระพุทธองค์เอง ไม่โกรธ แม้มีคนมาต่อว่าด่าทอ แม้มีผู้คนมาให้ร้าย และทำลาย เพราะพระพุทธองค์ เห็นความเป็นจริงชัดแจ้งแล้
เหล่าชนทั้งหลายเป็นผู้หลงไ
พระพุทธองค์เจ้าเอง ไม่หลง ประเพณีแห่งพราหมณ์แม้ตกทอด
ธรรมทั้งหลาย เกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดจากการมีใครบันดา
เพราะธรรมทั้งหลาย มันมีมันเป็นของมันเช่นนั้น
บุรุษที่ไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่หลง ย่อมกล่าวธรรมไปตามความเป็น
บ่ายโมงแล้ว วันนี้ ธรรมอย่างป่าๆ ที่แสดงมา คงพอเป็นแนวทางแห่งพวกเราใน
เที่ยงนี้ สวัสดีจ้า…พี่น้องที่น่าร
พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ได้ดี…..ต้องฝ่าความตาย ท่อนสุดท้าย ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง