ดึกขนาดนี้ เป็นข้าก็คงไม่อยู่รอสวัสดี
ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน อยู่ฝั่งตรงข้าม ข้าเดินข้ามถนนไป พลังอันรุนแรงยังส่งออกมาจา
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งขนลุกขนพองสยองเกล้า ดึกขนาดนี้ แถมผีจากศาลเรียกอย่างนี้ นี่ถ้าภาวะธรรมดา คงได้วิ่งกันน้ำบาน
แต่เวลานี้ มันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ
นี่..ใจมันเห็นเด่นชัด ใจมันรู้ภาวะของมันเอง ตายเมื่อไหร่ ไม่ลงนรกอย่างใครๆ เขาแน่ มันมั่นใจ มันเห็นประจักษ์ใจ สว่างโล่อยู่เต็มหัวใจ ใจมันจึงไม่กลัว
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ศาล ความน่าหวาดหวั่นมันก็ยิ่งท
เมื่อมาถึงศาล ข้ายืนนิ่งมองดูรูปปั้น ชายในชุดนักรบ ที่น่าเกรงขาม และรูปปั้นบริวาร ทั้งที่เป็นเสือและคน ความเงียบ ที่ได้ยินแม้เสียงเต้นของหั
ดูมันช่างน่ากลัวน่าหวั่นใจ
ข้านั่งลงและหลับตากำหนดจ
พอจิตรวมฟึ่บ ชายในชุดนักรบ หน้าคมเข้ม ตาดุก็ยืนกางแขนต่อหน้าข้า และพูดด้วยใบหน้าที่แสนยินด
ท่านนักรบ เอื้อมมือมาโอบกอด ข้าเองก็ทำอะไรไม่ถูก แต่เกิดความอบอุ่นใจอย่างปร
ท่านกล่าวว่า…
ไอ้น้องเอ๋ย…ใจเจ้าตั้งมั
่นแท้ ไม่ยอมแพ้แม้ จะสิ้นร่าง
ความเเกร่งนี้ มันมีคู่ กันมาอยู่ช้านาน
แม้ผ่านกาล อันยาวนาน ใจเจ้านี้..ไม่เปลี่ยนแปลง.
. วันข้างหน้า เจ้าจะยืนอยู่ในผ้า กาสาวพัตร์
ขอจงกำจัดกิเลสใน ด้วยใจนี้
เหล่ามารร้าย ที่จะมาทำลายในผืนปฐพี
ขอเจ้านี้ ช่วยกำจัด ยืนหยัดใจ
ถึงเวลาแล้วไอ้น้องเอ๋ย
ต้องจากกันเหมือนเคย อย่างเค
ยเห็น จากครั้งนี้ ขอให้ผ่านความลำเค็ญ
ขอให้ข้าได้เห็นผ้าเหลืองทอ
งผ่องอำไพ…
ข้าน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ต
แต่ภายในนั้น มันปลื้มใจ อยากกอดท่านไว้อยู่อย่างนั้
ท่านจับไหล่แล้วจ้องหน้า สายตาคู่นั้นดูอ่อนโยน นี่คือผีหน้าดุ ที่ใจดีที่สุด ข้าก้มลงกราบและขอขมากรรม
หากชาติใด ที่เคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ตั้งใจหรือไม่ตั้งในก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขอให้ท่านโปรดอโหสิให้ด้วย
ท่านยิ้มและพยักหน้า เป็นอันว่า เราต่างหายกันแล้วนะ ขอทุกบุญที่ได้ทำมา พึงสำเร็จแก่ท่าน….ท่านเจ
แหม่..ก่อนท่านจากไป ลืมขอหวยซัก 3 ตัว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ติดไม้ติดมือออกไปโม้กับใคร
ข้าถอนจิตออกมา ก้มลงกราบ และเอาน้ำมนต์ที่อยู่ในศาลร
พื้นที่ศาลแฉะไปด้วยคราบน้ำ
คว้าหมับหยิบมาสองลูก จับยัดๆ เข้าไป มันแสนจะอร่อย นี่ถ้าใครเอาไก่มาเซ่นด้วย รับรอง กูแดกกระดูกก็ไม่เหลือ ของผีก็ของผีเหอะ ยังไงๆ พ่อขุนก็กินไม่ได้อยู
พลังงานที่ทำเอาขนลุกขนพองส
ข้าเดินตามทางกลับไปยังทางข
พอพ้นเขตแสงไฟ ความมืดทั้งหลาย ก็คลุมเส้นทางไปทั่วมองไม่เ
นี่ขนาดเป็นถนนนะ ฝ่ามือมันยังมองไม่เห็นเลย พยายามเพ่งความมืดมองหาป้าย
แต่ถ้ากำหนดจิต มันจะมองเห็นว่า สองข้างทางที่เดินไป มันมีแต่ผี ต่างนั่งมั่ง นอนมั่ง เบียดกันมั่ง เนืองแน่นเต็มไปหมด
ผีบางตัวมันมาเกาะขา ข้ายังเอาตีนเขี่ยๆ แบบกวาดด้วยส้นตีน ให้กระเด็นออกไปเลย มันขวางกันเกะกะ แน่นพรืดดด ไปซะหมด เหมือนคนยากจนอดอยาก มารอแจกของ
พูดดีๆ มันไม่มีหูฟัง ก็ต้องหวดด้วยไม้เท้าบ้าง กระทืบด้วยตีนบ้าง บางทีก็จะมีแสงสีแปลกๆ พุ่งไปพุ่งมา เสียงวี๊ดๆๆ อยู่ด้านข้าง สองข้างทางสุดลูกหูลูกตา ในมโนจิต มีแต่ผีทั้งนั้น
ผีเหล่านี้ มันมารอรับส่วนบุญ พอดีไม่ได้สัมภาษณ์มันซะด้ว
เหล่าผีนี้ มันมีเยอะจริงๆ ตลอดสองข้างทาง จริงๆ แล้วมันก็แน่นอย่างนี้
ต้นไม้แต่ละต้น ก็ยังขย่มเขย่าเสียงเกรียวก
การแผ่เมตตานี่ สำคัญนะ ขอให้เราน้องๆ ไปไหนๆ ก็ให้หมั่นแผ่เมตตา พลังงานทั้งหลาย เขารับได้
พอข้าแผ่ทีหนึ่ง สองข้างทางใกล้ๆ ก็จะหายวาบเป็นช่องว่างใหญ่
เหล่าวิญญาณนี่ มันมีมากจริงๆ คิดว่า จักรวาลนี้ ไม่มีอะไรมีมากและหนาแน่นเท
มันมีรถบางคัน ที่วิ่งห้อมาทางด้านหลัง แต่ข้าขี้เกียจกวักมือเรียก
ป่านนี้ คงมีเรื่องเล่า และเป็นไข้แดกกันเป็นแถว ที่จู่ๆ เจออสูรกาย เดินโงกเงกอยู่ริมถนน
ข้าเดินไปไกล จนในที่สุด ก็ถึงทางเข้า เพื่อเดินขึ้นไปบนเนินเขา อีก 2 กิโล
ข้าเองพยายามเพ่งมองป้ายที่
คืนนี้ดึกแล้ว ว่าจะโม้ให้จบๆ แต่คงต้องยกไปพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เหลือระยะทางอีก 2 กิโล ข้าต้องเจออะไรบ้าง จึงสามารถหลุดออกมาสู่โลกปั
ธรรมกะ บุญญพลัง