ได้ดี…ต้องฝ่าความตาย ท่อนที่เจ็ด..!!

ได้ดี…ต้องฝ่าความตาย ท่อนที่เจ็ด..!!

1004
0
แบ่งปัน
นิทานเรื่องนี้ โม้มาหลายตอนแล้วน้อ ฟังกันเอามันเอาหนุกก็แล้วกัน มันเป็นประสบการณ์เล็กๆ ที่กว่าจะก้าวมาถึงวันนี้ได
..โม้ต่อกันเลยนะได้ดี...ต้องฝ่าความตาย ท่อนที่เจ็ด..!!เสียงของนายตำรวจคนนั้น หายลับไปพร้อมเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์
ข้าเองเลยอดกินน้ำเลย แม้ในป้อมจะมีน้ำตั้งอยู่หลายขวดก็ตาม แต่เจ้าของ มันกระโดดหายไปแล้ว

ดึกขนาดนี้ เป็นข้าก็คงไม่อยู่รอสวัสดีเหมือนกัน เสียงเพ่ๆๆ แหบๆ พร้อมตัวจริงยืนจ๊ะเอ๋อยู่อย่างนี้  ขืนอยู่รอสวัสดี มีหวัง ช๊อกตาย แค่แหกปากวิ่งได้ ก็บุญโขแล้ว

ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน อยู่ฝั่งตรงข้าม ข้าเดินข้ามถนนไป พลังอันรุนแรงยังส่งออกมาจากศาล ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งขนลุกขนพองสยองเกล้า ดึกขนาดนี้ แถมผีจากศาลเรียกอย่างนี้ นี่ถ้าภาวะธรรมดา คงได้วิ่งกันน้ำบาน

แต่เวลานี้ มันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ ตายก็ไม่กลัว ตายๆ  ไปซะ ไปอยู่แบบสบาย ตายแล้วอยู่มี ร่างสวยๆ  ดีกว่า ร่างนี้มันหนัก และน่าสะอิดสะเอียนเต็มทน มันเหมือนอุ้มขี้ทั้งก้อน เป็นส้วมเคลื่อนที่ได้ยังไงยังงั้น

นี่..ใจมันเห็นเด่นชัด ใจมันรู้ภาวะของมันเอง ตายเมื่อไหร่ ไม่ลงนรกอย่างใครๆ  เขาแน่ มันมั่นใจ มันเห็นประจักษ์ใจ สว่างโล่อยู่เต็มหัวใจ ใจมันจึงไม่กลัว

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ศาล ความน่าหวาดหวั่นมันก็ยิ่งทวีคูณ รอบๆ  เงียบสงัด ไร้แม้เสียงแมลงป่า ยามค่ำคืน มันเหมือนโลกนี้ มีแต่ข้า ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุกอย่างที่ไร้ชีวิต

เมื่อมาถึงศาล ข้ายืนนิ่งมองดูรูปปั้น ชายในชุดนักรบ ที่น่าเกรงขาม และรูปปั้นบริวาร ทั้งที่เป็นเสือและคน ความเงียบ ที่ได้ยินแม้เสียงเต้นของหัวใจ และลมหายใจ ที่แผ่วเบา

ดูมันช่างน่ากลัวน่าหวั่นใจไม่น้อย นี่ถ้าเกิดหุ่นมีการขยับตัวยักคิ้วให้ซักเเพร่บ ข้าคงแหกปากร้อง จ๊ากกก กระโดดกันหัวทิ่มพื้น..

ข้านั่งลงและหลับตากำหนดจิต จิตที่มันเปิดอยู่แล้ว ก็คงเหมือนคนใกล้ตายนั่นแหละ มันเห็นนั่นเห็นนี่ง่าย คงคล้ายๆ  คนเป็นโรคประสาท มันปรุงของมันเอง

พอจิตรวมฟึ่บ ชายในชุดนักรบ หน้าคมเข้ม ตาดุก็ยืนกางแขนต่อหน้าข้า และพูดด้วยใบหน้าที่แสนยินดีว่า ขอต้อนรับ ด้วยความยินดี ท่านผ่าน..ท่านผ่าน อ้ายน้องชาย..

ท่านนักรบ เอื้อมมือมาโอบกอด ข้าเองก็ทำอะไรไม่ถูก แต่เกิดความอบอุ่นใจอย่างประหลาด เหมือนได้รับพลัง แห่งการมีกำลังใจ นี่..กำลังโดนผีกอด โชคดีจังที่ไม่โดนผีถีบ

ท่านกล่าวว่า…

 

ไอ้น้องเอ๋ย…ใจเจ้าตั้งมั่นแท้

ไม่ยอมแพ้แม้ จะสิ้นร่าง

ความเเกร่งนี้ มันมีคู่ กันมาอยู่ช้านาน

แม้ผ่านกาล อันยาวนาน ใจเจ้านี้..ไม่เปลี่ยนแปลง..

วันข้างหน้า เจ้าจะยืนอยู่ในผ้า กาสาวพัตร์

ขอจงกำจัดกิเลสใน ด้วยใจนี้

เหล่ามารร้าย ที่จะมาทำลายในผืนปฐพี

ขอเจ้านี้ ช่วยกำจัด ยืนหยัดใจ

ถึงเวลาแล้วไอ้น้องเอ๋ย

ต้องจากกันเหมือนเคย อย่างเคยเห็น

จากครั้งนี้ ขอให้ผ่านความลำเค็ญ

ขอให้ข้าได้เห็นผ้าเหลืองทองผ่องอำไพ…

 

ข้าน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกว่า ชาตินี้ เราจะเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ต่อแต่นี้ คงหายลับและจากไกล คงไม่ได้หวลคืน มาเจอกัน

แต่ภายในนั้น มันปลื้มใจ อยากกอดท่านไว้อยู่อย่างนั้นนานๆ ท่านลูบหลังแล้วให้พร ขอให้ชีวิตนับจากนี้ คลาดแคล้วบ่วงมาร ที่เหลือมันเป็นแค่เศษเล็กน้อย ทนๆ  ไป ท่านว่างั้น

ท่านจับไหล่แล้วจ้องหน้า สายตาคู่นั้นดูอ่อนโยน นี่คือผีหน้าดุ ที่ใจดีที่สุด ข้าก้มลงกราบและขอขมากรรม

หากชาติใด ที่เคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ตั้งใจหรือไม่ตั้งในก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขอให้ท่านโปรดอโหสิให้ด้วย

ท่านยิ้มและพยักหน้า เป็นอันว่า เราต่างหายกันแล้วนะ ขอทุกบุญที่ได้ทำมา พึงสำเร็จแก่ท่าน….ท่านเจ้าพ่อ ขุนด่าน

แหม่..ก่อนท่านจากไป ลืมขอหวยซัก 3 ตัว ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ติดไม้ติดมือออกไปโม้กับใครๆ  ได้

ข้าถอนจิตออกมา ก้มลงกราบ และเอาน้ำมนต์ที่อยู่ในศาลราดหัว แหม่.. ได้โดนน้ำแล้วมันสดชื่นหลายๆ จึงตักรดไปหลายตูม เพราะยังไง ผีที่นี่ก็เป็นคนกันเองละวะ คงไม่ออกมาด่าแม่ ที่ทำศาลเลอะหรอกนะ

พื้นที่ศาลแฉะไปด้วยคราบน้ำสกปรก ข้าจึงเอาผ้าแถวนั้นเช็ดๆๆๆ  แล้วถอยออกมา ก่อนถอย เห็นผลไม้ที่เขาถวายอยู่ในจาน ก็เลยบอกว่า ขอกินหน่อยนะพ่อขุน

คว้าหมับหยิบมาสองลูก จับยัดๆ  เข้าไป มันแสนจะอร่อย นี่ถ้าใครเอาไก่มาเซ่นด้วย รับรอง กูแดกกระดูกก็ไม่เหลือ ของผีก็ของผีเหอะ ยังไงๆ  พ่อขุนก็กินไม่ได้อยู่แล้ว พ่อขุนท่านไม่มีฟันเคี้ยว ข้าเลยขอเคี้ยวแทน

พลังงานที่ทำเอาขนลุกขนพองสยองเกล้า หายไปเกลี้ยง จึงเดินกลับออกจากศาล เจ้าพ่อขุนด่านไปทางเก่า ได้น้ำราดหัวไปนิด ก็พอจะมีแรงเดินหน่อย

ข้าเดินตามทางกลับไปยังทางขึ้นเขาเขียน ยังไงก็ต้องเดินกลับ เพราะนี่มันทางแยกศรีสวัสดิ์์ เขาเขียนมันผ่านมาไกลโข คาดว่า น่าจะเดินไปซัก 3 กิโลก็น่าถึง กะๆ  เอาอย่างนั้น

พอพ้นเขตแสงไฟ ความมืดทั้งหลาย ก็คลุมเส้นทางไปทั่วมองไม่เห็นทางอีก ท้องฟ้าก็ยังมืดมิดไร้เดือนไร้ดาว นี่สงสัยยังอยู่ในนรกมั้ง ยังไม่พ้นทาง

นี่ขนาดเป็นถนนนะ ฝ่ามือมันยังมองไม่เห็นเลย พยายามเพ่งความมืดมองหาป้ายกิโล มองยังไงก็มองไม่เห็น มันมืดจริงๆ

แต่ถ้ากำหนดจิต มันจะมองเห็นว่า สองข้างทางที่เดินไป มันมีแต่ผี ต่างนั่งมั่ง นอนมั่ง เบียดกันมั่ง เนืองแน่นเต็มไปหมด

ผีบางตัวมันมาเกาะขา ข้ายังเอาตีนเขี่ยๆ แบบกวาดด้วยส้นตีน ให้กระเด็นออกไปเลย  มันขวางกันเกะกะ แน่นพรืดดด ไปซะหมด เหมือนคนยากจนอดอยาก มารอแจกของ

พูดดีๆ  มันไม่มีหูฟัง ก็ต้องหวดด้วยไม้เท้าบ้าง กระทืบด้วยตีนบ้าง บางทีก็จะมีแสงสีแปลกๆ พุ่งไปพุ่งมา เสียงวี๊ดๆๆ อยู่ด้านข้าง สองข้างทางสุดลูกหูลูกตา ในมโนจิต มีแต่ผีทั้งนั้น

ผีเหล่านี้ มันมารอรับส่วนบุญ พอดีไม่ได้สัมภาษณ์มันซะด้วยซิ ว่าทำไมถึงได้มาเป็นผี รอส่วนบุญส่วนกุศลกันหนาแน่นขนาดนี้ เวลานั้น ใจมันจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว

เหล่าผีนี้ มันมีเยอะจริงๆ ตลอดสองข้างทาง จริงๆ  แล้วมันก็แน่นอย่างนี้ในทุกๆ  ที่นั่นแหละ เพียงแต่เรามองไม่เห็นเอง

ต้นไม้แต่ละต้น ก็ยังขย่มเขย่าเสียงเกรียวกราว ข้าเดินถึงไหน หากประทะพลังงานขนลุกขนพอง ก็จะยืนกำหนดแผ่เมตตา

การแผ่เมตตานี่ สำคัญนะ ขอให้เราน้องๆ ไปไหนๆ  ก็ให้หมั่นแผ่เมตตา พลังงานทั้งหลาย เขารับได้

พอข้าแผ่ทีหนึ่ง สองข้างทางใกล้ๆ ก็จะหายวาบเป็นช่องว่างใหญ่ทีหนึ่ง แต่ซักพัก ก็จะมีผีใหม่ มาปรากฏแน่นอย่างเก่าอีก

เหล่าวิญญาณนี่ มันมีมากจริงๆ คิดว่า จักรวาลนี้ ไม่มีอะไรมีมากและหนาแน่นเท่ากับดวงวิญญาณอีกแล้ว

มันมีรถบางคัน ที่วิ่งห้อมาทางด้านหลัง แต่ข้าขี้เกียจกวักมือเรียกมัน เพราะพอรถพ้นเนินสาดแสงมาเห็นข้า มันต่างก็หักพวงมาลัย ร้องจ๊ากกกก ขับหนีไปสุดขอบอีกเลน แทบหล่นถนนเสมอ

ป่านนี้ คงมีเรื่องเล่า และเป็นไข้แดกกันเป็นแถว ที่จู่ๆ เจออสูรกาย เดินโงกเงกอยู่ริมถนน

ข้าเดินไปไกล จนในที่สุด ก็ถึงทางเข้า เพื่อเดินขึ้นไปบนเนินเขา อีก 2 กิโล

ข้าเองพยายามเพ่งมองป้ายที่เขาเขียน แต่มองยังไงก็มองไม่เห็น จึงเดาขึ้นสุ่มๆ  ไป มีผีบางตัวชี้มือไปทางป้ายนั้น เป็นอันแน่ใจได้ว่า ใช่ทางขึ้นของเขาเขียนแน่ๆ

คืนนี้ดึกแล้ว ว่าจะโม้ให้จบๆ แต่คงต้องยกไปพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เหลือระยะทางอีก 2 กิโล ข้าต้องเจออะไรบ้าง จึงสามารถหลุดออกมาสู่โลกปัจจุบัน พรุ้งนี้ ค่อยมาว่ากันต่อ คืนนี้สวัสดี…

ธรรมกะ บุญญพลัง