สติปัสฐานสี่ พอสังเขป ธรรมอย่างป่าๆ

สติปัสฐานสี่ พอสังเขป ธรรมอย่างป่าๆ

1300
0
แบ่งปัน

มีหลายคน เอาเรื่องสติปัสฐานสี่ มาบอกว่า การเห็นจิตก็เห็นเวทนา เห็นจิต และเห็นธรรมได้

นี่… สงสัยจะเข้าใจเรื่องจิตไม่ถูก นี่เข้าใจอย่างไปอ่านมาจำมาแล้วนึกเอา

สติปัสฐานสี่ พอสังเขป ธรรมอย่างป่าๆเวทนา เกิดได้ ย่อมอาศัยกายเกิด 

เวทนาทั้งหลาย อาศัยผัสสะ ทางอายนะ

อายตนะอาศัยรูป นี่..มันอาศัยกันมาอย่างนี้

คำกล่าวที่กล่าวมานั้นซ๊ำซ้อนกัน ใคร..เป็นผู้ดูจิต จึงมาเห็นเวทนา จิตและธรรมได้อีก

นี่มันเอาความรู้สึกไปเห็น ความรู้สึกนี่ มันเป็นชาติ ในอาการของเวทนา มันจะไปเห็นจิตตรงไหน เห็นธรรมตรงไหน

ความเข้าใจในสติปัสฐาน เข้าใจเป็นอย่างๆ นี่ เป็นความรู้ อ่านๆ จำๆ มาแล้วนึกว่าเอามันไม่ใช่อย่างนั้น

หากไม่ไปเฝ้าดู กาย จะไม่รู้จัก เวทนา ที่รู้จักนั้น ไม่ใช่เวทนาอันเป็นวิปัสสนาญาณ

การเข้าถึงเวทนาอันเป็นวิปัสสนา มันจะเกิดปัญญาประจักษ์ชัดกับใจว่า เวทนาทั้งหลาย ไม่ได้เกิดจากกาย กายมันไม่รู้ไม่ชี้

เวทนาทั้งหลาย เพียงแค่อาศัยเหตุปัจจัยผ่านการผัสสะแห่งรูป ทางช่องอายตนะ เกิดเป็นเวทนา

เมื่อภูมิปัญญาเต็มขึ้นมา จึงจะเกิดวิปัสสนาญาณเห็นว่า เวทนาทั้งหลาย ที่เป็นเจ้าของนั้น มันเป็นแค่อาการของจิต

เวทนาจริงนั้น ไม่มี ที่มีมันอาศัยเหตุปัจจัยจากการมีรูป เป็นเหตุ

เมื่อภูมิปัญญาเต็มขึ้นมาอีก จึงจะเกิดวิปัสสนาญาณเห็นว่า อาการแห่งจิต ที่เกิดเวทนาทั้งหลาย โดยอาศัยรูปนั้น

มันเกิดจากเหตุปัจจัย ปรุงแต่งไปตามธรรมดาของมัน ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของอะไรเลย

มันอาศัยความไม่รู้เป็นกลไก ในการเกิดจิตสังขาร อาศัยเหตุปัจจัย สืบๆ กันมา

เป็นกฏแห่งอิธทัปปัจยตา ที่ร้อยเรียงกันมาครบกาลเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท

ธรรมทั้งหลายมันอาศัยกันมาอย่างนี้ เมื่อเห็นธรรม ก็จะมองเห็น ตถาตา คือความเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง ขึ้นมาในใจ

ในหลักของสติปัสฐานสี่ ธรรมนั้น เป็นภูมิขั้นปัญญา เป็นเรื่องของปัญญาระดับอรหัตมรรค ไปถึงอรหัตผล

เรื่องจิตนั้น เป็นภูมิขึ้น สมาธิ เป็นเรื่องของปัญญา ระดับอนาคามีมรรค ไปถึงอนาคามีผล

เรื่องเวทนานั้น เป็นภูมิขึ้น ศีล เป็นเรื่องของปัญญา ระดับโสดาติมรรค ไปถึง สกิทาคามีผล

ส่วนเรื่องกายนั้น เป็นภูมิปัญญาขั้นปุถุชนทั้งหลาย เป็นขั้นแสดงผลแห่งความรู้ เพื่อสร้างสติ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเฝ้าดู

เพื่อสร้างรากฐานไปสู่ โสดาปัตติมรรค ไปยัน อรหัตผล

นี่เป็นทางเอก เป็นเส้นทางเดียวที่กว้าง และทอดทางเข้าสู่ประตูนิพพา

การเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม มันเรียงร้อยกันมาเช่นนี้

ไอ้ที่รู้ธรรมเรื่องสติปัสฐานแล้วคิดเอา มันเป็นความรู้ ไม่ใช่ความจริง

เมื่อไหร่ที่เห็นธรรม ก็จะเห็นเด่นชัดอีกว่า ความจริงทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ความรู้ มันเป็นแค่อาการสมมุติอย่างหนึ่ง ของอวิชชาเท่านั้น

และธรรมทั้งหลาย ที่เป็นสมมุตินั้น มันดันซ่อนอยู่ในกายนี้ซะด้วย

มันยังมีกายนอก กายใน และกายในกาย

เราพิจารณากายนอกหรือยัง..??

พิจารณากายในหรือยัง..??

เข้าใจกายนอก เข้าใจกายใน เราจึงตั้งสติพิจารณา กายในกายได้ชัด

เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา

จิตนอก จิตใน จิตในจิต

ธรรมนอก ธรรมใน ธรรมในธรรม

เหล่านี้ มันต้องอาศัยภูมิปัญญาครูบาอาจารย์ชี้ เป็นขั้นๆ ทั้งนั้น เพราะเป็นธรรมชาติแห่งภูมิปัญญาล้วนๆ

เราเข้าใจกันแค่ผิวเปลือกหนอ เอาเปลือกมาเป็นแก่นกัน มันเลยได้ธรรมกัน…อย่างเปลือกๆ

สติปัสฐานนี้ เป็นการตั้งสติ ในอิริยาบทกาย เดิน ยืน นอน นั่ง ให้มีสติสืบเนื่องกันไป

ย่อมไม่ใช่ของง่าย ที่จะไปเห็น เวทนา จิต และธรรม หากการชี้ธรรมไม่รู้จุดมุ่งหมาย

ธรรมที่ได้ก็จะเป็นแค่ความรู้ เป็นแค่เปลือก ที่เป็นผลแบบเปลือกๆ

ที่พระอริยเจ้า ท่านได้แสดงความเห็นไว้ โดยที่เราเข้าไปไม่ถึง

ที่เข้าได้ ก็เป็นแค่ลูบไล้เปลือก

แล้วกล่าวบอกว่า….กูนี้รู้จักการปฏิบัติในหลักแห่ง สติปัสฐานสี่

รู้ไหม..กูอย่างนี้ ยังเป็นกูที่โง่หลาย …