ได้ดี..ต้องฝ่าความตาย ท่อนห้า ตอนเผชิญอสูรกายเพลิง

ได้ดี..ต้องฝ่าความตาย ท่อนห้า ตอนเผชิญอสูรกายเพลิง

1143
0
แบ่งปัน

หวัดดี ยามค่ำน้องๆ ทั้งหลาย วันนี้โม้อะไรดีหนอ ต่อจากคืนนั้นก็แล้วกัน เรื่องเมืองลับแล..

ได้ดี..ต้องฝ่าความตาย ท่อนห้า ตอนเผชิญอสูรกายเพลิงเมื่อข้าลงมาถึงพื้นล่าง รอบๆ ตัวข้า ก็มีกองไฟ โผล่ฟึ่บขึ้นมาจากดิน ตรงนั้นกอง ตรงนี้กอง จิตข้านี้รู้เลย ว่าภายใต้กองไฟเหล่านั่น ใต้ดินมีทองคำฝังอยู่ เพียงแต่ในภาวะนั้น มันไม่มีกระจิตกระใจ ใดๆ เหลืออยู่ ที่จะไปสนใจ 

โบราณว่าไว้ว่า.. ตรงไหนที่มีไฟลุกขึ้นมาจากดินเฉยๆ ในป่า ตรงนั้นมีสมบัติฝังซ่อนอยู่ จริงดั่งโบราณว่า สมบัติใต้ดิน มันมารวมกันต่อหน้าข้า

ที่จริงมันเป็นเรื่องของเหล่าพวกผีที่เฝ้าสมบัตินั่นแหละ ทำให้เกิดเหตุแห่งไฟ หากว่ากันตอนนี้ ผีเหล่านั้น ต้องการให้ข้าโมทนาบุญให้ แต่ตอนนั่นข้ามึนไม่รับรู้กับเจตนาผี แปลสัญญาของเหล่าผีเฝ้าสมบัติไม่ออก

แต่สิ่งที่น่าสนใจ นู่น…กองไฟที่ลุกโชนบิดไปบิดมา ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าโน่น มันดึงดูดใจข้า ให้เดินเข้าไปหา มันคืออะไร..???? และมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในกองไฟนั้น

เมื่อข้าเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นได้ชัดว่า ภายในกองไฟมันเป็นอสูรกายครึ่งตัว เป็นกระดูกและส่วนที่เป็นกระโหลก บิดไปบิดมาอยู่ในเปลวเพลิงนั้น ขนาดมันใหญ่โตเหลือเกิน

พะเนียงไฟที่แตกเพี๊ยะๆ ตามผิวของกระดูกที่เป็นกระโหลกนั้น ดูเป็นกระโหลกที่แดงฉานไปทั้งร่าง มันโผล่จากดินขึ้นมาแค่ช่วงไหล่ บิดไปบิดมาสั่นไหวอยู่ในเปลวเพลิง นี่มันนรกขุมไหนก็ไม่รู้ แล้วนี่ ข้าตายรึยัง

หรือว่าข้าหล่นตกจากหน้าผา ตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าตาย ที่ยืนอยู่นี่ มันเป็นแค่วิญญาณรึเปล่า มันช่างน่าสับสน อสูรกายในเปลวเพลิง ร้องบอกออกมาว่า “ช่วยยยข้าด้วยย”

ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถ้ามีแรงกูคงวิ่งน้ำบานหายหัวไปแล้วเพื่อนเอ๋ย ไม่มายืนให้เอ็งร้องขอความช่วยเหลือประจันหน้าอยู่อย่างนี้หรอก

มือที่ถือไม้เท้า จู่ๆ ก็ วางไม้เท้าลง ปล่อยมีดทิ้ง ข้ามองดูตาม มันทำของมันเอง เฮ่อ…แต่ละอย่างนี่ มึนกับมันจริงๆ ใครหนอมาบังคับแขนบังคับมือ ฝืนก็ไม่ได้ เพราะข้าบังคับมือไม่ได้เลย

มันเหมือนมือเป็นเหมือนหุ่นยนต์ มันยกแข็งๆ แกว่งไปแกว่งมา แบบหุ่นยนต์แข็งๆ ข้ามองดูมือข้าเอง มันเหง็กๆๆๆ เข้ามาทาบที่หน้าอก ดีแล้ว ที่มือข้า ไม่เหง็กๆๆๆ มาบีบคอข้า ไม่งั้นต้องทะเลาะกับมือตัวเองอีก

มือนั้นมันสั่นเหง็กๆๆๆ เอาฝ่ามือไปทาบเส้นประคำพระธาตุ ที่ข้าใส่แบบสะพายเเร่ง มันทาบเช่นนั้นอยู่นาน เจ้าอสูรกายในเปลวเพลิง ก็ร้องบอกว่า ช่วยเขาด้วยๆๆๆๆ

ที่สุด..ข้าก็นั่งคุกเข่า มันคุกของมันเอง แล้วข้าก็กำหนดจิตแผ่เมตตา พร้อมท่องบท อิมินาที่เราใช้กรวดน้ำกันนี่แหละ ต่อหน้าพระเพลิง จากนั้นก็ขอขมากรรม ในทุกๆ อย่างต่อพระเพลิง สงสัยข้าคงเยี่ยวใส่พระเพลิงมาก่อน เลยต้องโดนบังคับขอขมากรรมกัน

เมื่อสิ้นเสียง และการบอกกล่าวขอขมา กระดูกที่เป็นกะโหลกนั้น ก็นิ่งสนิท หยุดบิดตัวเร่าร้อนด้วยความเจ็บปวด กลายเป็นแค่ ถ่านไฟแดงๆ ที่ระอุไปด้วยเปลวเพลิง นิ่งสงบไร้วิญญาณ เหมือนตอไม้ที่ถูกไฟเผาเท่านั้น

ทุกอย่างเงียบ นี่ถ้ามีดนตรีเพลงประกอบ ก็คงจะเข้ากับบรรยากาศ ข้าลุกขึ้นเดินถอยกลับออกมาอย่าโซเซ เดินผ่านเหล่ากองไฟ ที่ฟึ่บตรงนั้นที ตรงนี้ที จนมาถึงลานกว้างในที่ๆ หนึ่ง ตรงนั้นข้าก้าวขาต่อไปไม่ไหว มันไร้แรง เหมือนมีอะไรมาตรึงขาไว้

มีเสียงก้องๆ แผ่วๆ จากแดนไกลๆ ว่า ให้นั่งลงทำกรรมฐานตรงนี้ ข้าหล่นตุ๊บลงไปนั่ง ดากเดิกคงพังชิบหายวายป่วงไปหมดแล้วตอนนั้น

แค่ผ่อนลมหายใจออก จิตก็สงบหมดแล้ว แต่มโนจิตแจ่มชัดมาก เหล่าหลวงปู่หลวงพ่อ แห่กันมาทางมโนเลยทีเดียว หลวงปู่ศุกร์ หลวงปู่ฤษีลิงดำ หลวงปู่รอดเสือ หลวงปู่ปานหลวงปู่อะไรต่ออะไรอีกหลายท่าน ท่านมาชมว่า ยอดๆๆๆๆ ลูกเอย

พอน้อมไปดูพระหลวงปู่ทั้งสอง ที่มาด้วยกัน ก็เห็นชัดว่า กำลังนั่งสมาธิ ใช้จิตตรวจหาข้าอยู่ มันรู้ของมันเองอย่างนั้น จะไปดูลูกชาย เพื่อน หรือที่ไหนๆ ในโลกนี้ มันเห็นของมันหมด มันชัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อ

นึกจะไปสวรรค์ มันก็พรวดๆๆๆ เป็นสวรรค์แล้ว จะทำให้กายเล็กและใหญ่เท่ากับเหล่าหมู่เทวาก็ได้ หรือจะให้ใหญ่กว่าก็ได้ มันสามารถทำอะไรก็ได้ ในสภาพจิตขณะนั้น

ข้าถามพรหมท่านหนึ่งว่า นี่ข้าตายรึยัง ทำไมจิตมันคล่องอย่างนี้ ท่านยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร แค่พูดสั้นๆ ว่า ผ่าน พอนึกถึงตนเอง ข้าก็มองเห็นร่างที่ขมุกขมอม นั่งนิ่งเป็นท่อนไม้ มันน่าโสโครกสิ้นดี

ไม่อยากกลับมาเป็นร่างนั้นอีก เพราะร่างใหม่ มันสวย มันสบาย มันเบาและคล่องตัว อย่างบอกไม่ถูก ข้าท่องไปโน่นนี่ซะนาน แต่ใจมันดันระลึกได้ว่า พระเขารออยู่ เดี๋ยวจะเป็นบาป

แค่คิดเท่านั้น ความรู้สึกแห่งกายอันหนักอึ้งทั้งหลาย มันก็เริ่มทำงานอีก ข้าลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ มีกำลังทางกายอย่างประหลาด

แต่แค่เผยตายังไม่ทันสังเกตุอะไร อากาศก็หมุนพุ่งเข้ามาปะทะ รอบๆ ตัวข้า มันเหมือนกายโดนทรายละเอียด สาดซัดเข้ามาพร้อมๆ กับเสียงร้อง กรีสสสๆๆๆๆๆๆ แสบแก้วหู มันคือพวกผี ที่ไม่ระดมพลมาจากไหน ไม่รู้ นี่…ข้ากำลังโดนรุมทึ้ง

มันทำเอากายข้าหนาวเยือก ขนลุกขนพอง และสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง จึงต้องปิดเปลือกตาลงและกำหนดจิต หายเข้าไปในสมาธิอีก ข้าออกมายืนอยู่เห็นตัวเองนั่งแข็งทื่ออยู่อีกครั้ง

รอบๆ ร่าง และมองออกไปสุดลูกหูลูกตา มันมีแต่เหล่าผี ที่ต่างพากันแย่งที่จะพุ่งเข้าไปยื้อแย่งร่างข้าทั้งนั้น มันมีแต่เหล่าผีวิญญาณที่หนาแน่น แทบทุกทิศทาง

หากไม่กำหนดเพ่งร่าง เหล่ามวลพลังงานที่เรียกว่าผี มันจะปิดบังด้วยความหนาแน่น จนมองไม่เห็นร่าง มันเหมือนแมงวันนับล้านๆ พยายามยื้อแย่ง ลงตอมขี้

ข้ายืนมองอย่างสงบ จนหลวงปู่ท่านหนึ่งบอกว่า ไปเถอะ ยังต้องชดใช้อีกเยอะ แค่ทำความรู้สึก ความหนักอึ้งแห่งเรือนร่างก็กลับคืนมา

แต่ครั้งนี้ อาศัยร่างแผ่เมตตา แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง แผ่ออกไปรอบๆ ตัว แล้วแหกปากลั่นก้องทั้งขุนเขาว่า ” อิมินาบุญญะ กรรมเมนะ” ตอนนั้นท่องเป็นแต่บทนี้

แต่ได้ผล กายหายเยือกหนาวสั่นและขนลุกขนพองเมื่อท่องจนจบ จึงลืมตาขึ้นมา เผชิญความจริงด้วยผัสสะแห่งเรือนกายต่อ อากาศรอบๆ  หยุดการพุ่งสาดซัดเข้ามา

ข้าค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก มันไม่เหมือนกับกายที่ถอดออกมาเลย คนละเรื่อง ดุจฟ้ากับเหวไปโน่น เมื่อก้าวเดินออกมา ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณ เจ้าที่เจ้าทางแถวนั้น แค่กำหนดจิตโมทนา ขนหัวข้าก็ลุกตั้งอีก

ข้าเดินโซเซไปตามทางที่พอเดินได้ จนออกมาถึงถนนเส้นหนึ่ง ด้านซ้าย เป็นถนนมืด ดิ่งหายเข้าไปในดงไพร ด้านขวา เป็นถนน ที่สว่างด้วยแสงไฟ ที่โผล่ขึ้นมาจากดิน

ข้านึกขึ้นมาได้ว่า โบราณบอกว่า ทางไปนรกนั้น จะสบาย หากเป็นทางไปสวรรค์ มันจะลำบาก นี่ถ้าทางมืดนี่ไปสวรรค์ ข้าก็ต้องฝ่าความมืดเข้าไปอีกครั้ง

ทางขวาสว่าง สงสัยไปนรกอย่างคนโบราณเขาว่าหรือเปล่าหนอ ที่สุด..ข้าก็ตัดสินใจ….

แต่คืนนี้ดึกแล้ว ค่อยไปโม้ต่อในวันหน้า วันนี้ขี้ข้าอย่างข้าของพวกแก ต้องขอลาเพียงแค่นี้ก่อน หวัดดีทุกคน…ง่วงแล้วเว้ย หวัดดี..!!

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง