คุยกัน…เรื่องจิต

คุยกัน…เรื่องจิต

1762
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการ… ถ้าดวงวิญญาณที่ตกนรกอยู่ เกิดมีบุญบารมีมีสติคิดว่าเราเป็นแค่จิตหนึ่ง

คุยกัน...เรื่องจิตเราไม่ใช่สัตว์นรกหรือวิญญาณที่ตกนรกนี้ แต่ที่เราต้องมาตกนรกนี้ เพราะความยึดมันในความเป็นเราเอง

เราจึงมารับกรรมที่เราก่อ แต่เมื่อเรามีสติคิดได้ว่า เราคือจิตหนึ่ง จึงละคลายความหลงในรูปของวิญญาณนั้น แล้วก็หลุดออกจากห้วงของนรกเลย เพราะหมดยึดในความหลงทุกอย่าง จึงเป็นโมฆะ เพราะจิตแจ้งแล้ว พระอาจารย์ว่า เป็นไปได้ไหมครับ…(แต่ผมว่าได้ครับ)อิๆ

<< พระอาจารย์ : ได้ซิ หากมันคิดได้เช่นนั้น วิบากหลุดเลย นิพพานทั้งๆ ที่เป็นสัตว์นรกก็ได้ หากทำได้นะ

คนโดนย่างด้วยไฟอันแผดเผา มันคิดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือดิ้น…เพื่อหนีจากไฟ อย่างอื่น ไม่มีที่ว่างที่จะให้คิด

ลองลงไปดูซิ เผื่อไปนิพพานได้ ขณะเป็นสัตว์นรก ใจจะได้ยิ่งใหญ่ก้องไป ทั้งสามโลก

>> ลูกศิษย์ : ครับแสดงว่าจิตนิพพานได้แค่ละอัตตาตัวตนแม้เทวดาก็ต้องเป็นเช่นนั้น นรกก็เป็นสมมุติของผู้แจ้งแม้สวรรค์ก็ไม่ใช่ นรกมีเพราะทำให้มีแม้สวรรค์ก็เป็นเช่นนั้น…. กราบนมัสการ

<< พระอาจารย์ : แต่การแจ้ง มันต้องมาแจ้งที่โลกนี่ จะไปคิดว่านรกก็แจ้งได้ นี่มันก็บ้าเกินพระพุทธเจ้าแล้ว ความหมายมันคือ แค่ว่า…สมมุติว่า หากว่าเป็นเช่นนั้น

>> ลูกศิษย์ : ออ..ไม่ใช่ครับไม่ใช่แจ้งที่นรกแต่เมื่อเราแจ้งในสัจธรรม..แม้แต่นรกหรือสวรรค์นั้นก็เป็นสมมุติครับ…กราบนมัสการ

<< พระอาจารย์ : การละอัตตา ตัวตน มันก็แจ้งไม่ได้ มันเป็นแค่เข้าใจสังขาร ว่ามันเป็นเช่นนี้ ยังเข้าไม่ถึงธรรมอันละเอียดเลย

นั่น..เข้าใจถูก นรกและสวรรค์เกิดจากสมมุติ ผู้ที่ยึดสมมุติ สวรรค์มี นรกมี หนีไม่พ้นไปจากสมมุตินี้

ผู้ที่แจ้ง มันแทงตลอดถึงสมมุติ นี่..เรียกว่า เป็นผู้เข้าถึงวิมุติ วิมุติก็คือผู้แจ้งในสมมุติว่ามันเป็นของมันเช่นนั้นเอ

แต่การแจ้งนี้ ไม่ได้เกิดจากคิดเอา ทำเอา ตามความหมายแห่งปุถุชน มันเป็นการแจ้งที่เข้าใจในสภาวะทั้งปวงว่า..

มันเป็นของมันเช่นนี้ ด้วยมหาสติและมหาปัญญา การแจ้ง มันแจ้งไปตามกำลังแห่งปัญญาของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่เท่ากัน

ท่านถึงได้แยกเเยะ ว่า นี่คือพระโสดาบัน ซึ่งมีตั้งแต่ อย่าง หยาบ กลาง ละเอียดอีก

นี่..พระสกิทาคามี ก็ยังมีแยกย่อยไปตามภูมิปัญญาอีก พระอริยะเหล่านี้ ท่านก็ยังคงหลงอยู่ แต่เป็นการหลงของขั้นอริยชน

ที่สูงกว่าท่านมองเห็น ตัวท่านเอง มองไม่เห็นความหลงเช่นนี้หรอก ผู้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ยกเว้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้รู้แจ้งทุกเรื่อง

แต่ทุกเรื่องที่ยังไม่รู้แจ้งนั้น มันก็ไปลงที่ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง ท่านจึงไม่ค่อยเข้าไปเสือก ก็คนเรามีปัญญาไม่เท่ากัน ได้แค่ไหนผู้มีปัญญาท่านก็ยอมรับแค่นั้น

>> ลูกศิษย์ : ใช่ครับเพราะยังเสพธรรมอยู่ ยังหลงอยู่ในผลของธรรม ยังไม่จบกิจธรรม…กราบนมัสการ

<< พระอาจารย์ : จะไปบอกว่าท่านยังหลง เป็นคำกล่าวที่ขาดกาล ทุกอย่างในโลก นอกศาสนาเขาก็รู้กัน ว่ามันเกิดขึ้นแล้วดับเอง

ลัทธิเหล่านี้ มีมาแต่โบราณนู่น แต่ไม่มีใครรู้แจ้ง ว่ามันเกิดขึ้นและดับเองอย่างไร ปัญหามันอยู่ตรงนี้

การกล่าวธรรมขั้นสูงแค่ไหน ใครๆ มันก็กล่าวได้ เพราะมันเป็นแค่ความรู้ มันมีมุมมอง แค่การประพฤติตน ใจตนย่อมรู้ ว่าเรายังเต็มไปด้วยตัณหา

และตัณหานี้ ห้ามกันไม่ได้ซะด้วย นี่..ตรงนี้ ท่านผู้รู้แจ้ง ท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านอยู่กับตัณหาด้วยความเข้าใจ

แต่ผู้มีแต่ความรู้ มันอยู่กับตัณหาด้วยความไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าอะไร คือตัวตัณหา เมื่อไม่รู้ว่าอะไรคือตัวตัณหา มันก็เป็นผู้วางตัณหาด้วยตัวตน

พระอริยเจ้าขั้นโสดาบัน ก็เป็นพระอริยเจ้า ขั้นตัณหา พระสกิทาคามีก็ขั้นตัณหา พระอนาคามีก็ขั้นตัณหา พระอรหันต์ ท่านเข้าใจว่าท่านก็เป็นผู้มี…ตัณหา

เพราะตัณหามันผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบ ตราบเท่าที่ยังครอง สังขาร ท่านจึงเลือกที่จะเดินทางมรรค แทนที่จะเดินทาง สมุทัย

เพราะมรรคและสมุทัย เหตุของมันมาจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบในผัสสะแห่งสังขารนั่นเอง

นี่ พระอรหันต์เจ้า ท่านต่างรู้จัก หลักอริยสัจ เหตุนอกเป็นสมุทัย เหตุในเป็นมรรค

เมื่อผัสสะ ท่านเดินทางมรรค เพราะผลมันดำเนินไปทางนิโรธ แต่พระอริยเจ้าเบื้องต่ำลงไป ยังหลงไปในทางแห่งสมุทัย ตามภูมิกำลังแห่งปัญญา ที่ไม่แจ้ง

ผลแห่งทุกข์ ก็ยังพึงมี ไปตามภูมิแห่งขั้นปัญญา พระอนาคามี ยังหลงอยู่ หนึ่งภพ พระสกิทาคามี ก็ต้องกลับมาเกิดอีก หนึ่งภูมิ ส่วนพระโสดาบัน ยังต้องเวียนกลับมาอีกสองภูมิ

>> ลูกศิษย์ : ออครับ  เห็นเหตุของทุกข์แล้วดับเหตุเป็นการผิดประเด็นเพราะจะดับทุกข์และกิเลส ทั้งๆ ที่ดับในอัตตาตัวตนทั้งทุกข์และกิเลสก็ดับตามปะครับ

<< พระอาจารย์ : การดับอัตตาตัวตน มันจะไปดับตรงไหน ในเมื่อความเป็นอัตตาตัวตนมันอาศัยสังขาร

นี่.มันอัตตาด้วยการคิดเอา คิดว่าอัตตาดับ อย่างอื่นก็ดับ แล้วสังขารที่มันปรุงเป็นอัตตา มันเอาอัตตาไปไว้ไหน

>> ลูกศิษย์ : ผมมีวิธีแยกดูว่าผมไม่ใช่มนุษย์ยังงัยครับ กาย….อารมณ์…..รู้…. มนุษย์วนอยู่กับอารมณ์ซึ่งมันไม่มีตัวตน หลงสร้าง หลงกำหนด และตั้งใจสร้างอารมณ์

แล้วก็ไปแช่เสพอารมณ์เพราะความไม่รู้ครับ แต่ถ้ารู้อารมณ์เหล่านั้นก็ดับตาม เพราะจิตกระพริบรู้แค่วิเดียวครับนอกนั้นปรุงจิตครับ

<< พระอาจารย์ : ดับอย่างสุเทพแบบนี้ เป็นการดับอย่างทิฏฐิ ไม่รู้กาลแห่งเหตุคือ อริยสัจ

ผู้เฒ่าเองกล่าวธรรมตามพระพุทธองค์ ทรงชี้มา ไม่เคยกล่าวนอกเขตธรรม แต่วันนี้ ต้องพอก่อน มีเหตุต้องลา

ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม จากบทธรรม เรื่อง นรก…ขุมที่สี่ ณ วันที่ 24 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง