ได้ดี…ต้องฝ่าความตาย

ได้ดี…ต้องฝ่าความตาย

2560
0
แบ่งปัน

..หวัดดี วันนี้ โม้เรื่องไรดี วันนี้ ข้าเล่าเรื่องเมืองลับแลให้ฟังเอาไหม เอาเมืองลับแลนะ เอาๆๆๆ ผู้เฒ่าคนนี้ เรื่องโม้เพียบ

เรื่องนี้ เกิดขึ้ได้ดี...ต้องฝ่าความตายนมานานแล้ว สมัยตั้งแต่ข้ายังไม่บวช สมัยนั้น ข้านี้จะอยู่ในชุดขาว ทั้งชุด

หากทำงาน ก็จะแต่งเป็นเสื้อขาว กางเกงสีเข้ม อะไรอย่างนี้ และข้านี่ จะพกประคำเม็ดพระธาตุ จากภูเขาควาย เส้นเบ้อเร่อ ดูไปเหมือนพวกจอมขมังเวทย์

มีอยู่ ช่วงหนึ่ง มากาญจนบุรี พาพระมาเที่ยวป่าสองรูป พูดง่ายๆ ว่า มาทดสอบวิชากันกับพวกภพภูมิก็ได้ ซึ่งข้าเองน่ะ อยากดูพระเขา แสดงฤทธิ์ เพราะพระเขาโม้ไว้มาก และข้าเองก็นับถือพวกท่านด้วย

ช่วงนั้น เดินทางมาที่ศรีสวัสดิ์นี่แหละ มาพบพี่หรั่งเขา และทราบข่าวว่า แม่ส่งแกไม่สบาย ป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ศรีสวัสดิ์ จึงพากันไปเยี่ยมแม่ส่ง

ทีนี้..ทางที่ไปนั้น มันผ่าน สถานที่ ที่เขาเรียกว่า เขาเขียน เป็นภาพวาด 3,000 ปี หรืออะไรนี่แหละ จึงแวะเลี้ยวเข้าไป ทางปูนแคบๆ คดเคี้ยวไต่ไปตามเนินเขาซัก 2 กิโล ก็ถึง

ที่มาที่นี่ จุดประสงค์หลักก็เพื่อ จะตัดเอาไม้ไผ่ มาทำไม้เท้ามอบให้ หลวงปู่ทั้งสอง ที่จริง อายุน้อยกว่าข้าอีก แต่ลูกศิษย์เขาเรียกกันว่าหลวงปู่

กะว่า ตัดไม้เท้าเสร็จ แวะชมภาพวาด แล้วบ่ายสามโมงค่อยเข้าไปเยี่ยมแม่ส่ง ที่โรงพยาบาล

ข้านี้ เอามีดของพี่หรั่งไปด้วย ถือขึ้นไปหาลำไม้ไผ่ลวก กะเอาติดราก จะได้ดูขลังๆ มาให้พวกปู่ๆ เขา จะได้ดูขลังและเท่ห์ๆ

ที่จริงพระพวกนี้ เขาบ้าฤทธิ์ บ้าผี บ้าเทวดา บ้าบวงสรวง บ้าพระธาตุ บ้าวัตถุมงคล บ้าสารพัดร้อยแปด ที่โลกเขานิยม

เขาชอบเสาะหาธาตุกายสิทธิ์ จากแหล่งต่างๆ มาเป็นเครื่องล่อศรัทธา ชอบเสกโน่นเสกนี่ ตอนนั้นเสกโลโซยังไม่ดัง ไม่งั้นปู่เขาคงชอบด้วย

แต่กับข้านี่ เขาไม่กล้า เรื่องฤทธิ์ เพราะข้ามีฤทธิ์บ้ามากว่า เพราะเรื่องบ้าๆ ยุคนั้น ขอให้บอก พระเขาจึงเกรงใจข้า เพราะเวลา เขาเจอนักเลงทดสอบหรือลองของ พระท่านมักให้ข้าจัดการ

ท่านบอกว่า ไม่ต้องถึงมือท่านหรอก เรื่องแค่นี้ แค่ข้าก็รับมือไหวแล้ว ข้าเองมันบ้ายอ นึกว่า พระเหล่านี้เขาเก่ง ยังไงก็เป็นทัพหลังให้ข้าสบาย

ได้ลูกยุหน่อย ของขึ้นเชียวแหละ ยุคนั้นข้าจึงดุ กัดพวกนักเลงฤทธิ์ ไม่สนใจเกรงหน้าไหน หรือแม้แต่พวกพระ ที่เล่นฤทธิ์ด้วยกัน

เวลาพระฝั่งเรายุหน่อย บอกว่า พระพวกนั้นฤทธิ์เด็กๆ ให้เราหัดปะมือกับพระมั่ง จะได้แกร่ง ข้าได้ลูกยุ มันก็เลยเอาใหญ่ นี่..เขาเรียกว่าหมาบ้า เจอเจ้าของลูบหลังหน่อย กัดชิบหาย

ทีนี่ พระที่เป็นหลวงปู่สองท่านนี้ ท่านจะมาคุยกับพญานาค ท่านว่างั้น ข้าก็เลยอยากเห็นพญานาค เวลาเจอกับพระ แล้วเขาจะเป็นยังไง ข้าแค่อยากเห็น จึงติดตามและนำมาถึงที่นี่

เอาเรื่องพญานาคเลยไม๊ !!! เมืองลับแลพักไว้ก่อน หุหุหุ…ขานรับกันเกลียวเชียวเจ้าพวกนี้

เรื่องพญานาคนี่ เป็นเรื่องที่หลังจากข้า แหกคอกหนีนรกออกมาจากเมืองลับแลแล้ว

เรื่องนี้ พี่หรั่งและผู้คนที่นี่ เขาวุ่นกันกับการตามหาข้าทั้งคืน เพราะเขาเข้าใจว่า ข้าหลงป่า หายไปจากโลกมนุษย์

หลังจากข้าแหกด่านออกมาจากเมืองลับแลได้แล้ว ข้ากับพระทั้งสอง ก็ไปนอนพักที่วัดหาดแตง ที่วัดนี้ มีพระประจำเป็นพี่น้องอยู่สองรูป

ตอนกลางวัน หลวงปู่ของเรา ไปทำพิธีบวงสรวง ข้างป่าใหญ่ริมเขื่อน บอกกล่าวอะไรตามภาษาท่าน

และบอกว่า เสร็จพิธีบอกกล่าวแล้ว หากท่านโปรด หมายถึงพญานาค ท่านก็จะเปิดให้เราเอง สงสัยขออะไรไว้เยอะ

ข้าน่ะ ไม่รู้อะไรกับเขาหรอก เสร็จพิธี ก็ขับรถ ไปขอพักที่วัดหาดแตง ที่วัดเขามีหมาอยู่หลายตัว ตกเย็นๆ มันจะหอนกันเกียวกราว เสียงมันเย็นยะเยือก ข้างๆ หูเรานี่แหละ

ไอ้เสียงหอนอย่างนี้ สัญชาติญาณของข้าบอกว่า หมามันเห็นผี เพราะขนหัวข้าลุกตั้ง ไม่มีหยุดหย่อน เอาโว๊ยคืนนี้ มีอะไร แปลกๆ แน่เลย ข้ารู้สึกได้

ช่วงกลางคืน ป่าเงียบสนิท ขณะที่ข้าเข้าสมาธิ แต่หลวงปู่ทั้งสองนั่งโม้และสูบบุหรี่ กันตุ่ยๆ กลิ่นคาวของสัตว์ ใต้น้ำจำพวกปลา พวกงูเหลือมก็โชยมาแตะจมูก ฉุนกึ๊ก

ขนหัวข้าลุกตั้งอีก จึงกำหนดจิตให้อยู่กับคำบริกรรม ไม่สนใจกลิ่น หรืออาการเยือกสันหลัง ซักพัก เสียงเหมือนควายซักฝูง กำลังเล่นน้ำ กระจาย สนั่นไปทั้งราวป่า

ตอนแรกเข้าใจว่า เป็นเสียงคลื่น ที่โดนลมกระแทก เข้าหาฝั่ง แต่ตอนนั้น ลมเงียบสนิท ที่สำคัญ ขนหัวข้าลุกตั้ง แสดงว่า มันมีพลังคลื่นบางอย่าง แผ่มากระทบ แรงขึ้นและแรงขึ้น

แต่ข้าไม่สน ข้าถือว่า ไม่ใช่ หน้าที่ข้า ข้าตั้งมั่นอยู่ในสมาธิลูกเดียว โน่น พวกพระ พวกหลวงปู่โน่น เขาทำพิธีเรียกกัน

ตอนนี้ ลูกพี่ใหญ่ ตัวเบ่อเร่อมาแล้ว รู้สึกว่า เสียงกำลังใกล้เข้ามา ขนหัวลุกซู่ซ่า เยือกหนาวสั่นไปทั้งหลัง

ข้าเองรู้สึกถึงพลังบางอย่าง ที่แรงกล้ามาก ที่มาปะทะกับความรู้สึก อยากลืมตาก็อยากลืมตาดู แต่กลัวว่าจิตจะไม่มีกำลัง

ตอนนั้น มีความเชื่ออย่างนั้น รุ่นพี่เขาสอนไว้ ว่าหากเจออะไร ให้ตั้งมั่นอยู่ในองค์บริกรรม

ข้าก็ตั้งมั่นอย่างเดียวเลย ไม่กล้าลืมตาดู เกิดลืมตาแล้วจ๊ะเอ๋กัน ข้าคงร้องจ๊ากกก วิ่งกันน้ำบาน

แม้หลับตา ข้าก็เห็นในนิมิตว่า พญางูตัวเบ้อเร่อเลย กำลังกวาดหางมาทางที่เราพักอยู่ ส่วนหัวหายลงไปอยู่ในน้ำนู่

สงสัยกำลังหาอะไรเคี้ยวกินเล่น บางตัวลำตัวเท่าถังน้ำมันสองร้อยลิตรนั่นแหละ

พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย กินอะไรถึงได้ใหญ่โตขนาดนั้น อนาคอนด้ากลายเป็นใส้เดือนไปเลย ที่สำคัญ มากันเป็นโขยง หลายสิบเป็นร้อยตัวได้มั้ง

เอาละโว้ยย งานนี้ เมื่อวานข้าเพิ่งแหกด่านนรก ออกมาจากพวกเมืองลับแล วันนี้ ดันมาเจอพวกใต้บาดาลอีก ชีวิตไหง๋มันแปลกประหลาดใครเขาอย่างนี้หนอ

เสียงเล่นน้ำ ตูมตามใกล้เข้ามา และมีเสียงเหมือนของลากหนักๆ เข้ามาใกล้กุฏิที่พัก ในนิมิตที่เห็นเป็นภาพทางมโนจิต เป็นพญางู สีแดงทั้งนั้น พวกนี้ฤทธิ์เยอะ

ธรรมชาติของพวกเขา มีสีแดง เขียว เหลือง ดำ แยกย่อยกันออกไปตามภูมิวิสัย ที่เกิดจากไข่ก็มี จากครรภ์ก็มี จากของเน่าเหม็นก็มี จากอุบัติขึ้นมาเป็นตัวเลยก็มี

ที่เขาท่องๆ กันในบทมนต์ ก็ท่องกันเพื่อนอบน้อม พญานาค 4 ตระกูลอะไรนี่แหละ เขามีเป็นเผ่าพันธุ์ของเขา

ที่สุด ข้าก็เห็นชัดว่า พญางู ท่านมาแผ่พังพานอยู่เบื้องหน้า กลิ่น คาวลำตัวนี้ ฉุนกึ๊กคาวจัด สงสัยไม่เคยฟอกสบู่เลย ขี้เต่าเลยเหม็นขนาดนี้

ข้ากำหนดจิตออกไปว่า กลิ่นอย่างนี้ไม่ไหว กลิ่นจัญไรจมูกเหลือเกิน ซักพัก ก็กลายเป็นกลิ่นป่าไผ่ หอมๆ จางๆ

พญางูท่านมาส่ายเรียกว่าร่ายรำอยู่ในนิมิตข้าอยู่นาน และได้ยินเสียงกล่าว นมัสการ ที่ข้าก้าวผ่านเรื่องวิบากที่เพิ่งได้เผชิญ โดยเอาชีวิตรอดกลับมาได้

ท่านมานอบน้อมและแสดงตัว ชื่นชม และบอกกล่าว ว่าวิบากทั้งหลาย ที่ข้าต้องเผชิญ ในอัตภาพนี้ สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไป เขาทั้งหลาย จะช่วยดูแล เพื่อให้ข้า ได้สำเร็จประสงค์

ข้าเองก็ยังงงๆ ไม่รู้เรื่องหรอก ว่าพญางู หมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ข้าข่มใจ ไม่สนอะไรทั้งนั้น จนหลวงปู่อีกคน มาเรียก โยมๆๆๆๆ และเขย่าตัวข้านั่นแหละ จึงลืมตา

เมื่อถอนออกมาจากสมาธิ เพราะโดนเรียกและเขย่า จึงเห็นว่า พระทั้งสอง มีภาวะแตกต่างกัน อีกรูปหนึ่งกลัวมาก อีกรูปหนึ่ง อยากดู อยากรู้อยากเห็น

รูปที่กลัว หลังจากเขย่าข้าแล้ว เขาบอกให้ข้าช่วยหน่อย เขากลัว เขาเห็นพญานาค กำลังจะฉกกัดเขา

เขาต้านไม่ได้ ฤทธิ์เขาแรง แต่อีกรูป ไม่เห็น และมีความอยากเห็น จึงเอาไฟฉายส่องกราดลงไป ในป่าที่เป็นพงน้ำขังอยู่เบื้องหน้า

แต่ฉายไฟแค่ไหนยังไง ก็มองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงและกลิ่น ที่ลอยมาให้สัมผัสอยู่ ท่านก็บอกว่าขอดูๆ ขอชมบารมีหน่อย

ส่วนอีกรูป ล้วงลูกแก้ว โยนทิ้งให้ไปตามความเชื่อของเขา เขาเชื่อว่า นาคชอบแก้ว และคงแย่งกันเก็บลูกแก้ว ไม่มายุ่งกับเขา

ส่วนข้านี้งงๆ  กับพฤติกรรม เพราะเขาทั้งสอง ก็เป็นคนทำพิธีเชิญเอง พอพญานาคมา ทำไมอีกคนนึงกลัว อีกคนดันอยากเห็น แต่ไม่ได้เห็น แล้วทำพิธีขอเชิญไปทำไมกัน

มันจึงแย้งกับเจตนาที่ได้ทำพิธี ตกลง พระท่านขออะไรวะ ข้าเองก็สงสัย เสียงเล่นน้ำ และกลิ่นคาว มันชัดขึ้น ๆ

หลวงปู่องค์ที่ไม่เห็นและอยากเห็น ล้มลงฟาดพื้นเสียงสนั่น เพราะเป็นพื้นไม้ พอลุกขึ้นมาได้ก็รีบนั่งบริกรรม มีพลังแน่นๆ  บางอย่างโถมเข้ามา ทั้งสองจึงตกใจ และรีบสวดมนต์กันใหญ่

แต่เสียงและพลังแน่นๆ ก็ไม่ได้หายไป แถมปู่คนที่ไม่กลัวก็เริ่มเพ้อ ทำให้อีกองค์ กลัวหนักเข้าไปอีก

เสียงสวดมนต์ดังลั่นเพราะความกลัว ข้าจึงนั่งลงสวดมั่ง ที่สุด เสียงก็หายไป เมื่อข้าเริ่มสวดธรรมจักรฯ

ทุกสิ่งทุกอย่าง เงียบลง ปู่ทั้งสองหันมามองข้า ทึ่งที่ข้าสวดธรรมจักรฯ ปู่เขาสวดไม่ได้ แต่ข้าสวดได้ เพราะข้ามีใบโพย

ท่านคงอยากถาม แต่ข้าก้มหน้าก้มตาสวดจนจบ เมื่อทุกอย่างเงียบสนิท ข้าจึงถามว่า ทำไมหลวงพี่ถึงได้ล้มลง ข้านี้เรียกหลวงปู่พวกนี้ว่าหลวงพี่

ท่านบอกว่า พญานาค หวดท่านด้วยหาง ดีที่ยังมีพระคุ้มครอง ไม่เป็นอะไรมาก ในชีวิต ก็เพิ่งเคยเจอจังๆ ก็ครั้งนี้แหละ ไม่เคยนึกว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เกรงอกเกรงใจพระเลย

อ้าว..ข้านึกว่าเจอบ่อย เห็นเป็นจอมพิธี และโม้กันจัง เรื่องพญานาค แล้วดันไปเสือกเชิญมา ข้าจึงแค่เก็บความสงสัยไว้

ตอนเที่ยงคืน ข้านั่งสมาธิ ก็นิมิตเห็นพญานาคอีก ท่านมาบอกว่า พระพวกนี้ทุศีล ให้ถอยห่างออกมา จะทำให้ข้าขวางทางมรรคผล หากตามๆ กันอยู่เช่นนี้

และที่ท่านมากันนี้ ช่วงหัวค่ำ ไม่เกี่ยวข้องกับการบวงสรวงของพวกพระ แต่พากันมาร่วมโมทนาบุญ

ที่ครั้งหนึ่ง ข้าเองก็เคยเป็นลูกหลานพวกนาค เคยอยู่กันที่นี่ และเป็นครูบาอาจารย์ ชี้สอนเหล่านาค ได้ข้ามพ้นภพภูมิ เพื่อมุ่งไปสู่ทางหลุดพ้น

เขามาขอโมทนา ที่ชีวิตข้ารอดพ้น จากบททดสอบ เมื่อวันวาน พวกเขามากัน ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่เหตุอื่น

ข้าจึงเพิ่งเข้าใจ ว่าข้านี้ รับใช้และอยู่กับพระทุศีล มาหลายเดือน หลังจากนั้น อีกปีต่อมา ข้าก็ได้โกนหัวบวช และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

วันนี้โม้มาตั้งนานแล้ว คงต้องพอแค่นี้ คืนนี้หวัดดี ข้าง่วงเต็มทน

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง