คุยกับ…..พระอรหันต์เจ้า ท่อนสาม

คุยกับ…..พระอรหันต์เจ้า ท่อนสาม

1573
0
แบ่งปัน

หลวงพ่อครับ ธรรมะเกิดจากอะไรครับ ข้าถามหลวงพ่อในเย็นวันหนึ่ง

หลวงพ่อยิ้มชี้ไปที่ต้นไม้แล้วถามว่า นั่นอะไร ข้าตอบว่าต้นไม้…

มันคือต้นไม้ หรือเราบอกว่า มันคือต้นไม้

หลวงพ่อมาไม้ไหนวะนี่..???? เราบอกครับหลวงพ่อ ข้าก็ตอบไป

เออ..ต้นไม้นั้นเกิดจากเรา หรือเขาบอกเรา ว่าเขาคือต้นไม้…

อืม… เกิดจากเราครับ

งั้นธรรมะทั้งหลาย เกิดจากเราหรือท่านคิดว่า เกิดจากอะไร..

อ้าว..นี้ธรรมทั้งหลายที่ออกมาศึกษาแทบตาย เกิดจากเราหรือ หลวงพ่อ

เออ..หายโง่ยัง….

ยังคร๊าบบบ ก็นั่นมันต้นไม้นี่ หลวงพ่อ มันจะเกิดจากเราได้ไง ก็เรามันเห็นอยู่ มันอยู่ตรงนั้น

หลวงพ่อยิ้ม ที่เราเห็นเพราะเรามีตาหรอกท่าน เพราะตามี ต้นไม้ถึงมี หากตาไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี..

อ้าว…..ก็ต้นไม้มันมีอยู่น่ะ มันขึ้นของมันตามธรรมชาติ จะไม่มีต้นไม้ได้ไง หลวงพ่ออย่ามั่วซิ

หลวงพ่อมองไปที่ต้นไม้ ต้นไม้มีเพราะมีตาเห็นหรอก ตามันไปเห็นกระบวนการของมันที่จิตปรุงรูป จริงๆ ต้นไม้นั้น เป็นอากาศ….

เห้ยยย…อากาศได้ไง คนตาบอดที่มองไม่เห็น ไปคลำๆ ดูยังรู้เลย ว่านั่นเป็นต้นไม้ จะบอกว่ามันเป็นอากาศได้อย่างไร โฮ้…พระอรหันต์นี่ตลกโว๊ย

หลวงพ่อยิ้มอีก คนตาบอดมันไม่เห็นต้นไม้อยู่แล้ว ที่มันยังมีต้นไม้ เพราะมันเอามือเข้าไปคลำหรอก คนตาบอดที่คลำๆ นั่น เอากายเข้าไปดู เรียกว่า กายจักษุ…

เอ้าๆๆๆ ศัพท์ไหม่ กายมันไม่มีตาซักหน่อยหลวงพ่อ จะไปเรียกจักษุได้ไง ตาไม่มีดูแต่ใช้มือคลำได้ และมือก็ไม่มีตา

หลวงพ่อขำๆ คงอยากโดดถีบ ไม่มีตาแล้วรู้ได้ไงว่าเป็นต้นไม้ เอาอะไรไปเห็นความเป็นต้นไม้

ก็ใช้มือคลำไง ต้นไม้ถึงได้มี มือคลำแม้ไม่มีตา มันก็เห็นต้นไม้

หลวงพ่อหัวเราะ มือมันรู้หรือว่าใจมันรู้ ว่านี่ต้นไม้ ตกลงตัวที่เห็นเป็นอะไร..

เอ…มาไม้ไหนอีกวะ หลวงพ่อเรา..??   ใจซิครับมันรู้ เมื่อเอามือคลำดู ว่านี่คือต้นไม้ ใจมันเห็น

หลวงพ่อขำๆ แสดงว่ามือไม่เกี่ยวกับการเห็น ตัวที่เห็น คือใจที่รู้ผ่านการคลำใช่ไหม

ใช่ๆๆๆ เป็นเช่นนั้นหลวงพ่อ

หลวงพ่อ.. งั้นตามันเห็นต้นไม้ หรือใจมันอาศัยตาเห็นต้นไม้ละ

เอ่อออ……ก็ต้องตาเห็นซิครับ มันจึงจะรู้ไปถึงใจ

หลวงพ่อหัวเราะ ฮ่าๆๆๆ ตามันรู้หรือใจมันรู้ว่านี่คือต้นไม้

เอ่อ….เครียดหลายเลยหลวงพ่อคร๊าบบ ใจมันรู้ครับ หลวงพ่อ โฮ่..ลานปัญญาสุดแล้ว

งั้นแสดงว่า ตามันก็ไม่ได้รู้ มือมันก็ไม่ได้รู้ รวมไปถึง หู จมูก ลิ้น มันก็ไม่มีตัวไหนรู้ ที่รู้นี้ เกิดจากใจอาศัยสิ่งเหล่านี้รู้ ท่านว่าไหม

ทีนี้ ถ้าไม่มีใจ ท่านว่า แม้มีตา มีมือ มีหู มีลิ้น มีจมูก มันจะมีใครรู้ไหมว่าตรงนั้นคือต้นไม้…

ถ้าไม่มีใจ มันก็คงไม่มีอะไรเป็นเครื่องอาศัยบอกว่า นั้นเป็นต้นไม้ครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อหัวเราะ แสดงว่า ต้นไม้นั้นไม่มี ที่มีก็เพราะ อายตนะ คือช่องต่อให้เกิดการผัสสะ มันทำให้มี

และต้องมีเหตุปัจจัยคือ ใจ พร้อมองค์ประกอบ ต้นไม้ถึงมีขึ้นมาได้

ต้นไม้มี เพราะช่องทางเข้า มันเปิด หากตาบอด ต้นไม้ทางตา ก็ไม่มี หากหูบอด ต้นไม้ทางเสียงก็ไม่มี

หากจมูกบอด ต้นไม้ทางกลิ่นก็ไม่มี หากทางกายดับไร้ความรู้สึกรับรู้ด้วย ต้นไม้ทางลูบคลำมันก็ไม่มี

ต้นไม้มี เพราะช่องต่อเหล่านี้เปิด ให้มี หากไม่มีช่องต่อเหล่านี้ ต้นไม้ก็ไม่มี ต้นไม้นี้ ก็เป็นแค่อากาศสำหรับใจเรา ท่านว่าจริงไหม..

เอ่ออออ….ตกลงต้นไม้มีรึเปล่าหลวงพ่อ

หลวงพ่อบอกว่า มี…และไม่มี.. ที่เราเห็นว่ามี มันอาศัยเหตุปัจจัยให้มี ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ต้นไม้ก็ไม่มี

เอ่อออ…ตกลงต้นไม้มีไหมนี่ ก็มันมีตาเห็นอยู่ว่ามี คลำดูก็รู้ว่ามี ดมดูก็รู้ว่ามี ยังไงมันก็มีแหละน่า สำหรับผม

หลวงพ่อหัวเราะ คนโง่ ย่อมเห็นต้นไม้ เป็นแค่ต้นไม้ และมีต้นไม้ เห็นท้องฟ้า เป็นแค่ท้องฟ้า และมีท้องฟ้า เห็นอะไร ก็เห็นแค่ที่เห็น

และมีแค่ที่เห็น ตรงนี้แหละคือความหลง และวางสิ่งที่เห็นไม่ได้เลย เพราะมัน…มีให้เห็น และมองไม่เห็นว่าแท้จริงแล้ว มันไม่มี

มันเกินภูมิปัญญาคร๊าบบบ หลวงพ่อ นี่..สุดยอดปฏิสัมภิทาญานด้านย่อขยายธรรมแล้ว ส้าาาาาธุจ๊ะหลวงพ่อ โปรดขยายธรรมให้หน่อยคร๊าบบ….!!

หลวงพ่อบอกว่า ที่ท่านรู้ท่านทราบตรงตามความเป็นจริง ว่ามันมี และไม่มี เพราะสถานที่นี้ มันซ๊ำมันซ้อน ไปตามยุค

บางยุคเป็นป่า บางยุคเป็นเมือง บางยุคแห้งแล้ง บางยุคเขียวชะอุ่ม

ทีนี้ที่นี่เป็นที่สถิตย์ ของเหล่าหลากหลายวิญญาณ สำหรับวิญญาณ ที่ร่างตายตอนตรงที่เคยเป็นเมือง แม้ที่เราจะเห็นว่าเป็นป่าอยู่เช่นนี้

แต่สำหรับเขา มองไม่เห็นป่า เขาเหล่านั้น ก็ยังเห็นว่าเป็นเมือง เป็นเมืองเท่าที่เขาบันทึก ทาง ตาหู ลิ้น จมูก กาย และใจ ในตอนมีร่าง

เมื่อหมดร่าง เป็นแต่ดวงวิญญาณ ป่าตรงนี้ ก็ไม่มีสำหรับเขา ที่มี ก็เป็นแค่เมือง ที่เขาเคยอยู่ ต้นไม้ที่เราเห็นเหล่านี้ มันไม่มี มันเป็นแค่..อากาศ สำหรับเขา

ส่วนบางพวก แถบนี้กลายเป็นป่า แม้ภายหลังจะกลายเป็นเมือง แต่ตอนมีชีวิต เขาอยู่เป็นป่า วิญญาณเขาก็ไม่เห็นเมืองสิ่งที่เขาเห็น มันก็ยังเป็นป่า ตามที่เขาเคยบันทึก

ตรงนี้ จึงเห็นได้ชัด เฉพาะบุคคล ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เราเห็น ที่เราสัมผัส และยืนยันได้ด้วยใจเรา มันไม่มี ที่มีมันเกิดจากใจดวงนี้ ที่อาศัยกระบวนการแห่ง รูปนาม มันถึงได้มี

และรูปนามนี้ ก็เป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุแห่งวิบากกรรม ที่อาศัยกันมา แต่ก่อนเก่า เราหลงยึดกันว่ามี เพราะเราไม่มีดวงตาเห็นธรรม

แม้มีดวงตาเห็นธรรม ก็ใช่ว่า จะมาเป็นผู้รู้เห็นอยู่อย่างนี้ มันมีภูมิบารมีที่สร้างสมเป็นเหตุปัจจัยมา ไม่เท่ากันอีก

รู้เห็นอย่างพระพุทธองค์ อันเป็นพุทธวิสัย นั่นกว้างไกล เท่าที่ใจต้องการ ภูมิสาวก และอนุภูมิอริยะ ก็รู้ย่อยแตกต่างกันลงมาอีก

จึงแยกภูมิเป็น สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และ ปฏิสัมภิทาญาณ แม้ปฏิสัมฏิทา ก็ยังแยกย่อยญานรู้ออกไปอีก ตามกำลังบารมี ที่สร้างสมกันมา

เมื่อรู้เห็นเช่นนี้ มันก็คลายความกำหนัดยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส กายผัสสะ และอารมณ์ใจ เพราะสิ่งทั้งหลาย มันมีไม่จริง ที่มันมีจริงตามที่ผัสสะ

มันเป็นแค่กระบวนการแห่งจิต มันปรุงแต่งขึ้นทั้งนั้น เรามันหลงไปเอง แต่เรามองไม่เห็น สิ่งที่มันซ่อนอยู่ในความมี ว่ามันไม่มี

ที่หลงเพราะกำลังแห่งอินทรีย์ ไม่แก่กล้า ศีลไม่แก่กล้า ปัญญาไม่แก่กล้า ทั้งหลายเนื่องด้วยสติมันอ่อน สติไม่มีกำลังพอ

ที่จะตั้งมั่น ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา จึงทำให้หลงในช่องทาง แห่งอายตนะ ว่าเป็นเรา เราเป็นเจ้าของในอาการแห่งผัสสะ

สิ่งเหล่านี้ ต้องประจักษ์จิต ใจมันจึงจะยอมลง ประจักษ์จิตแล้ว ท่านที่ยังทรงสังขาร ท่านก็ยังซอกซอนค้นต่อไป ในสิ่งที่ยังไม่รู้อีกเยอะแยะ

ต่างกับชนแห่งปุถุชนทั้งหลาย ที่ค้นเพราะอยากรู้ รู้แล้วก็ยึดไว้วางไม่ลง แต่ผู้รู้แล้ว ค้นเพื่อเป็นเครื่องอยู่ ยิ่งรู้ใจมันก็ยิ่งวาง

ท่านที่บรรลุแล้ว ไม่ใช่ผู้รู้ไปทุกอย่าง แต่ท่านรู้ว่า ทุกอย่างที่ยังไม่รู้ มันเป็นของมัน เช่นนั้นเอง..

ท่านคิดว่า ต้นไม้นั้น มีหรือเปล่าละ ถ้าต้นไม้ยังมี ก็ตาถั่วยังโง่หลายอยู่ หากต้นไม้ไม่มี นี่โง่หลาย และอวดดีแล้ว

หากเห็นเช่นนั้นเป็นไง เห็นอะไรรึยัง ต้นไม้มี หรือไม่มี รู้ชัดแล้วไหม ว่าธรรมะมันเกิดจากอะไร..

เฮ่ออออ มิน่า..ไปบิณฑบาทกับสิ่งที่ไม่มี เพราะเห็นว่ามี เลยไม่ได้อะไรมากินฟรี ๆซักวัน ที่แท้ ต้นไม้มันไม่มีนี่เอง ที่มีเพราะเหตุปัจจัยสร้างขึ้นมาให้มีนี่เอง

แล้วไอ้เหตุปัจจัยนี่ มันเกิดจากอะไรหว่า เห่อ…ปวดหมอง แล้วพวกเราว่า…จริงๆ ต้นไม้มีไหม…

ธรรมกะ บุญญพลัง วันที่ 7 มิถุนายน 2557