เหตุนี้….อยู่ที่ไหน

เหตุนี้….อยู่ที่ไหน

994
0
แบ่งปัน

>> ลูกศิษย์ : สิ่งที่เชื่อพระอาจารย์อยู่นี้รวมลงเป็นปัญญาได้หรือไม่ขอรับ

<< พระอาจารย์ : ไเหตุนี้....อยู่ที่ไหนม่ใช่ปัญญา เชื่อผู้เฒ่า ไม่รู้แจ้งได้ จึงไม่เรียกว่าปัญญา มันเป็นแค่ความรู้ ยังไม่ใช่ความจริง ปักใจเชื่อนี่ โง่หลาย รัตนตรัย…

>> ลูกศิษย์ : 55555 ไม่รอดโดนซะรัตนตรัยเอ๋ย… นึกว่าพระอาจารย์จะชี้ช่องให้ฉลาดกว่านี้

<< พระอาจารย์ : ก็เหมือนกับว่า เห็นองุ่นนั้นไหม รัตนตรัย องุ่นนั่นมันหวาน

รสชาติดีหลายๆ องุ่นนั้น มันหวานจริง ดีจริง แต่มันถูกของผู้ชี้ มันยังไม่ถูกเรา

เรายังเชื่อไม่ได้ แค่รับฟังไว้ แต่ไม่ได้ค้าน
ตราบใดยังไม่มีองุ่นให้เอื้อมมือเข้าไปหยิบ

หยิบแล้วก็ยังเชื่อไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ลองลิ้ม

ลิ้มแล้ว มันจึงตัดสินใจเชื่อได้ว่า มันหวานหรือไม่หวาน

ไอ้หวานนี้ หรือไม่หวานนี้ มันเป็นความจริงที่จะประจักษ์ใจเรา

ใจที่มันประจักษ์จริงกับตัวเรา มันจะเกิด อัตตาหิอัตโนนาโถ

มันพึ่งตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งใคร หรือต้องไปเชื่อใครอีกแล้ว

มันยืนยันได้ ด้วยตัวเราเอง ว่ามันหวาน หรือไม่หวาน

ปัจจัตตังนี้ มันเป็นความจริงกับเรา แต่..เป็นความรู้สึกแบบตามเราบอกของผู้อื่น

แม้เรายืนยันบอกกับผู้อื่น ว่ามันหวาน เพราะลิ้มลองมาแล้ว

มันก็ยังหวานไม่รู้ไม่ชี้ หวานแบบคนฟังเขาไม่รู้ ยังหวานแบบโง่ๆ อยู่ดี

ความหวานนี้ เกิดเฉพาะตน ตรงนี้ จึงเป็นปัญญาแจ้ง ที่รู้หวาน

ส่วนความหวานที่บอกใครๆไป มันเป็นความรู้ เป็นสัญญาแห่งปัญญาที่รู้ประจักษ์ใจ ว่ามันหวาน

ของเราเองและบอกผู้อื่น หวานนั้น แท้จริงมันดับไปแล้ว มันไม่หวานแล้ว นี่…เป็นสัญญารู้ ไม่ใช่ปัญญา

แต่ความหวานนี้ พึงทำใจ เพราะใครๆ เขาไม่ได้มาหวานกับเราด้วยหรอก

เป็นเพียงแต่ความเชื่อ ที่เขาเกิดศรัทธาหรอก เป็นแค่อากาศหวาน อย่างลมๆ แล้งๆ

หวานความรู้ กับรู้ความหวาน มันห่างและต่างกันหลายๆ…รัตนตรัย

>> ลูกศิษย์ : กราบอนุญาติครับผม ก่อนจะชิมนั้น หยิบมันขึ้นมาแล้วชิม  ชิมแล้วก็รู้ว่าหวานแล้วเฉยๆ หรือ ก่อนชิมนั้นต้องพิจารณาของที่จะชิมเมื่อชิมแล้วก็รู้รสว่าหวานแล้วพิจารณาว่าหวานนั้นเพราะอะไร แตกต่างกันใช่ไหมครับ

<<พระอาจารย์ : ที่เราชิม มันเป็นกาล ของการพิสูจน์ความเชื่อ ที่เขาว่า ว่าองุ่นนี่หวาน

เมื่อมันหวานหรือไม่หวาน นั่นเป็นปัญญา ที่เกิดกับเรา

เบื้องแรก..มันจบและมีคำตอบกับใจเราแค่นั้น คือ มันได้เกิดปัญญารับทราบและยืนยันได้ ด้วยตัวเราเอง

ส่วนอีกกาลหนึ่ง เป็นของเหตุอีกปัจจัยหนึ่ง ตามที่ถามมา

หากเราพิจารณาก่อนชิม ก็แสดงว่า ความรู้ทั้งหลายที่เขาว่ามา ยังไม่ใช่ปัญญา

ตัวนี้ยืนยัน คำตอบชัด เพราะมันยังไม่ประจักษ์ เป็นแค่ความรู้ ยังเชื่อไม่ได้

ปัญญามาก ก็สงสัย พิจารณานาน

ศรัทธามาก ก็งมงาย ขาดการพิจารณา

เรียกว่า เป็นผู้มีกำลังน้อย

ส่วนการชิม แล้วก็รู้รสว่าหวาน หากพิจารณาต่อ ว่าหวานนั้นเพราะอะไร

นี่เป็นวิสัย ของผู้ขี้สงสัย มันก็ต้องถกขยายกันออกไป อีกกาลหนึ่ง คนละเรื่องกับความเชื่อ และความรู้ ที่เขาบอกว่าหวาน

ชิมแล้วหวาน เรามาพิจารณากันไหม ว่าหวาน เพราะอะไร

เพราะหวานแต่ละเงื่อนไข มันมีการขยายสมมุติไม่เหมือนกัน

แต่มันลงที่ผลเดียวกัน เพียงแต่กาล และนิยามแห่งคำถาม มันมีเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ในความหมาย…

เมื่อเราเกิดการพิจารณา เรามาลองพิจารณาดูซิว่า หวานเพราะอะไร

นี่..เป็นความหมาย ที่ละเอียด และลึกซึ่ง มีนัยยะแตกต่างจากความเชื่อ ที่รู้ๆ มา

เมื่อพิสูจน์แล้วว่าหวาน หากไม่จบแค่ตรงหวาน กระบวนการแห่งการพิจารณา ก็ย่อมเกิด ตามภูมิวิสัย

ปัญญาก็จะขยายกว้างและลึกลงไป เหนือโลกที่เขาเข้าใจ แยกละเอียดลึกลงไป เกินกว่าที่โลกเขาปรารภว่า
ใจย่อมตั้งคำถามขึ้นมา เหนือโลกเขาว่า หวานนี้ เกิดจากเรา หรือเกิดจากองุ่น

โลกก็ต้องว่า หวาน เกิดจากองุ่น นี่..โลกย่อมว่ากันอย่างนี้

 

แต่วิสัยปราชญ์ ย่อมกล่าวว่า หวานนี้ เกิดจากเรา เพราะองุ่น มันหวานไม่รู้ไม่ชี้อะไรกับใคร

และไม่ใส่สมมุติยัดเยียดให้ใคร ว่าตัวมันนั้นหวาน
หากมันไม่มาอาศัยความเป็นเรา ความหวาน แห่งองุ่น ย่อมไม่มี

ที่มี เกิดจากเราเข้าไปยัดเยียดและสมมุติ ว่า องุ่นมันหวาน

นี่…กลอุบายแห่งจิต มันจะเกิดการ สาวผลไปหาเหตุ

มันเริ่มเป็นการเคลื่อนปัญญา ที่เป็นสัญญาความรู้ สู่ความหมายที่โลก เข้าไม่ถึง

 

เมื่อพิจารณา ละเอียดขึ้นไปอีก จะพบว่า หวานนั้น แท้จริง ไม่ได้เกิดจาก องุ่นหวาน

แต่เกิดจาก ตัวเราที่ได้รับรู้รสหวาน หวานนี้ เกิดจากเรา ประกาศสมมุติ

ว่ามันหวานอย่างนั้น ว่ามันหวานอย่างนี้ นี่..ถ้าไม่มีเรา องุ่นไหนๆ มันก็ไม่มีหวาน

ที่หวาน มันมีเรายัดเยียดและประกาศสมมุติ ว่าองุ่นมันหวาน ไม่ใช่ตัวองุ่นมันประกาศหวาน

ผู้ที่มีภูมิวิสัยลึกไปกว่านั้น ย่อมยืนยันได้ ว่าองุ่นไม่ได้หวาน น่ะถูก

ความหวาน มันเกิดจากตัวเรา แต่ท่านก็จะกล่าวต่ออีกว่า ลึกกว่านั้น ตัวเรา มันก็ไม่ได้หวาน

เพราะถ้าความหวานเกิดจากตัวเรา เอามือ เอาแขน เอาขา ที่เป็นตัวเรา แตะองุ่นนั้น มันก็ย่อมจะต้องหวาน ไปกับตัวเราด้วย

ฉะนั้น ความหวาน ย่อมไม่ได้เกิดจากตัวเรา ตัวเรามันกว้างไปที่จะกล่าวว่าเป็นผู้เกิดความหวาน

หวานนี้ เกิดจากตัวเรา ที่เป็นลิ้นโน่น ไม่ใช่ตัวเราทั้งหมด

นี่..เห็นไหม พอสาวผลไป ความเป็นตัวเรา มันก็หดตัวลง เข้าไปหาความหมายจุดเกิด

แดนกำเนิด ที่มาที่ไปของหวาน ได้ละเอียด และแคบเข้า

ผู้รู้ที่สูงกว่านั้น ท่านก็กล่าวว่า องุ่นไม่ได้หวาน นะถูก แม้ตัวเราก็ไม่ได้หวานทั้งหมดนั่นก็ถูก

แต่หวานนี้ ก็ไม่ได้เกิดจากลิ้น หวานมันเกิดจากความรู้สึกโน่น

หากลิ้นชา หรือหมดความรู้สึก หวานทั้งหลาย จากองุ่นก็ไม่มี

ที่มี เกิดจากความรู้สึก และจำได้ว่านี่หวาน

ลึกไปกว่านั้น ความรู้สึกก็ไม่ได้หวาน ความหวานนี้ เกิดจากผัสสะ ไม่ใช่เกิดจากความรู้สึก

ผัสสะไม่มี ความรู้สึกว่าหวาน ไม่มีเกิด

ลึกลงไปกว่านั้น หวานก็ไม่ได้เกิดจากผัสสะ

แต่หวานนี้ อาศัยช่องทางแห่ง อายตนะ การผัสสะแห่งหวาน มันถึงได้มี
ลึกลงไปกว่านั้น หวานไม่ได้เกิดจาก อายตนะ

หวานเกิดจากนามรูปนู่ หากนามรูปไม่มี อายตนะย่อมไม่เกิด ช่องทางให้เกิดหวาน ที่จะมาผัสสะได้

ลึกกว่านั้น นามรูปก็ไม่ได้เกิดหวาน เพราะนามรูปอาศัยวิญญาณ

หวานทั้งหลาย อาศัยวิญญาณนู่ เกิด หากไม่มีวิญญาณ หวานจากนามรูป เกิดไม่ได้

ลึกไปกว่านั้น หวานก็ไม่ได้เกิดจากวิญญาณ

หวานทั้งหลาย เกิดจากการปรุงแต่ง แห่งกระบวนการแห่งจิต หวานจริงๆ จึงไม่ได้เกิดจากวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นแค่อาการหนึ่งแห่งจิตสังขาร ที่มันปรุงหวานแห่งวิญญาณขึ้นมา

ลึกลงไปกว่านั้น หวานนี้ก็ไม่ได้เกิดจากจิตที่ปรุงแต่ง

แต่มันเกิดจากความไม่รู้ เรียกว่า อวิชชา ที่เกิดผัสสะ จากองุ่นลูกนั้น หวานมันก็เลยเกิด

ลึกลงไปกว่านั้น อวิชชามันก็ไม่ได้หวาน หวานนี้ มันเกิดจาก สมมุติ

ที่ทุกกระบวนการ มันอาศัยเหตุปัจจัย ปรุงแต่งและสร้าง รูปแบบ เป็นกองขันธ์ขึ้นมา

ลึกไปกว่านั้น กองขันธ์ ก็มาจากชาติ ชาติมาจากภพ ภพมาจากอุปาทาน

อุปาทานก็มาจากตัณหา ตันหาก็มาจากเวทนา เวทนาก็มาจากผัสสะ ไล่ไปยัน อวิชชาอีก จึงมีหวานขึ้นมา

นี่..หวานนี้ มันเป็นวัฏฏะเวียนวนโดยกาล หมุนไป อาศัยเหตุปัจจัย ขยายลึกไกลไปไม่รู้จบ

หากเรารู้จักกระบวนการเหล่านี้ เราย่อมเบื่อหน่ายในความหวาน

เราย่อมคลายความกำหนัด ในความหวาน เราย่อมถอนความหลงยึดในความหวาน

เพราะหวานนี้ เป็นแค่สมมุติ ที่เวียนวนตามเหตุปัจจัย โดยไม่รู้จบ

จะมาบอกว่านั้นหวาน นี่หวาน ย่อมบอกไม่ได้ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลาย มันมีเหตุอาศัยกันต่อเนื่อง โดยไม่รู้จบ
นี่…เป็นการพิจารณา ว่าหวาน มันเกิดจากอะไร…ต้องทานข้าวแล้ว สวัสดี

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง โดนกระชากใจ… ณ วันที่  30 พฤษภาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง