จำได้ไหม……ห้าร้อยกว่าปีแล้ว ท่อนสอง..

จำได้ไหม……ห้าร้อยกว่าปีแล้ว ท่อนสอง..

1345
0
แบ่งปัน

เห่ยๆๆๆ หวัดดี ทำไรกัน สองทุ่มแล้ว จะคุยเรื่องไร มันมีค้างไว้อยู่เรื่องหนึ่ง คืนนี้โม้ซะเลย

เอ…ถึงไหนแล้ว เอาเรื่องที่ค้างไว้ก่อน พอดีแชร์ไปลงหน้าเพจ ต่อกันตรงนี้เลยนะ

……..เมื่อจิตข้ารวมลง และสว่างจ้า ในความจ้าสว่างนั้น เจ้าทหารหาร มันก็มาปรากฏตัวขึ้นอีก

คราวนี้ มันกระทืบพื้น สนั่นเลย หาว่าข้านี่ ยังนิ่งเฉย ไม่ไปดูแลพ่อเขาอีก ทำไมเป็นคนอย่างนี้..

ไอ้เจ้าทหารนี่ มันอารมณ์ร้อน พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ผีกับคน หากมีอารมณ์ มันก็โง่ และไม่ฟังอะไรเหมือนๆ กัน เอะอะก็พูดแต่เรื่องของตนเองอย่างเดียว ไม่ฟังคนอื่น

ข้าถามว่า เอ็งมาโวยวาย กระทืบปึงปัง ไม่สบอารมณ์ นี่..มันด้วยเรื่องอันได ค่อยๆ พูดค่อยๆ คุยกันก่อนซิ

มีแต่อารมณ์ เอะอะก็จะใช้แต่กำลัง มันจะใช้ได้ที่ไหน ข้าด่าแม่มันไปหลายคำ

มันจ้องหน้าและชี้ด่าข้าว่า ใจร้าย ทิ้งขวางลูกน้อง ไม่รักษาสัจจะ

คราวก่อน เขามาบอกไปแล้วว่า พ่อเขาคงลำบากแน่ ที่ข้าทิ้งพ่อเขา หนีมาอยู่ป่าคนเดียวแบบนี้ เขาไม่ยอมหรอก ยังไงข้าต้องกลับไปช่วยพ่อของเขา

แล้วนี่ ข้ายังไม่ไปอีก แถมมาด่าเขาอีก เขาด่าว่าข้าว่า ไอ้คนใจร้าย ทำลายหนีเพื่อนหนีฝูง มาเสวยสุขเพียงคนเดียว

ข้าก็ว่า เออๆๆๆๆ บอกมา พ่อแกอยู่ไหน ข้าจะไปช่วยเดี๋ยวนี้

เขายิ้มออกมาได้ และบอกว่า พ่อเขาอยู่ อโยธยา ห่างจากที่นี่ สามวัน ต้องไปขอม้าจาก เจ้าพระยาสีหเตโช เดินทางกลับกันไป เดี๋ยวเขาจะจัดการให้ ตามเขาไปก็แล้วกัน

ข้าบอกว่าได้ แกไปขอมา พรุ่งนี้ ข้าจะไปกับแก มันรับปากข้า แล้วชี้หน้า ทำปากมุบมิบ ก่อนหายตัวไป

นี่…ผีมันกวนตีน รุ่งเช้า ม้าชื่อ มิวเซเว่น ของยายจิน ก็เดินทางมารับแต่เช้า

เขาบอกว่า เราไปเที่ยวบ้าน เจ๊ต้อยกัน เจ๊ต้อยนี่ อดีตแกเคยเป็น เจ้าพระยาสีหเตโช แห่งกรุงอโยธยา ในสมัยพระไชยราชา พี่พระเทียน

เมื่อไปถึงอยุธยา ข้าก็แยกตัว ไปทำธุระของข้า คือไปตามกระแสที่มาผัสสะทางมโน ผีมันขี่ม้า ตามข้าอยู่ มันให้ข้านำ มันบอกว่า ข้าต้องอยู่หน้า หากเกิดอะไรมา ข้ารับไปก่อน

ทิศทางที่เจ้าผีพามา ข้านั่งม้า มิวเซเว่นตามกระแสผีไป จนถึงสถานที่ ที่ตรงนั้นก็คือ สถานที่ตั้ง วัดวรเชฐ อยู่ในเกาะเมืองแห่งอยุธยา

ข้ากำหนดจิตถามผีว่า บ้านพ่อแกอยู่ตรงไหน ซักพัก ไอ้คนขับรถก็ตอบแทนผีเลยว่าตรงนั้นไง

แล้วชี้ไปตรงข้างๆ เจดีย์ ข้ามองเจ้าคนขับอย่างไม่ไว้ใจ ตกลงนี่มันผีหรือคน มันพูดวะนี่

ข้าเดินเข้าไปในวิหาร ซึ่งไม่มีหลังคา เย็นมากแล้ว คนก็ไม่มี ข้านั่งหลังพิงกำแพง แค่ครู่เดียว เจ้าผีก็ปรากฏร่าง มันก้มลงกราบ น้ำตานองหน้า ที่ข้านี้ เดินทางมา

ข้าถามว่า บ้านพ่อ แกอยู่ไหน มันชี้ไปตรงสนามหญ้า แต่ข้านี้ไม่เห็นบ้าน มันก็ชี้และบอกว่า นั่นไงบ้านพ่อมัน ทำไมข้าจึงไม่เห็น

ข้าบอกว่า มันคนละภพแล้วโว๊ย ขี้เกียจอธิบายผีอย่างแก ให้แกไปตามพ่อแกมา ข้าจะรออยู่ตรงนี้
มันบอกว่า พ่อมันขาเสียเดินไม่ได้หรอก ข้าต้องไปหา

ข้าจึงบอกว่า มึงก็อุ้มมาซิวะ กูจะรออยู่ตรงนี้ มันก็พยักหน้า บอกว่า เออจริง แล้วมันก็เดินหายไป มันหายไปนาน ที่สุดมันก็อุ้มพ่อมันออกมา

ข้าเห็นว่า สิ่งที่มันอุ้มออกมานั้น ไม่ใช่พ่อมันหรอก มันเป็นเพียงสัญญาของผี ที่สร้างขึ้นมา ว่านี่ คือพ่อมัน

นี่..ผีมันแบกอุปาทาน ที่ยึดมั่นว่าพ่อลำบาก ขาเสีย ไม่มีคนดูแล และตนเองก็ต้องไปรับใช้ชาติ ไปเป็นทหาร เพื่อป้องกันการรุกราน จากพวกมอญ

มันค่อยๆ วางพ่อมันลง ข้าบอกว่า เดี๋ยวข้าจะทำให้ขาพ่อแกหายและเดินได้ก่อน มันดีใจ และขอบใจยินดี ข้าบอกให้มันหลับตา และตั้งใจรับยาดีจากข้า

ข้ากำหนดจิต แผ่เมตตาจิต อุทิศผลบุญ ที่ได้กระทำมา และที่ได้เกี่ยวเนื่องกับครอบครัวนี้ ขอให้เขาได้รับกุศลผลบุญ ทุกบุญที่ข้าได้กระทำมา

ปรากฏว่า พ่อเขา ลุกขึ้นยืนได้ และผิวพรรณผ่องใส เสื้อผ้าเปลี่ยนไป เป็นเครื่องทรงกษัตริย์ งดงาม เจ้าผีเขาดีใจ และก้มลงกราบข้า

ข้าถามว่า แล้วแกละ เจ้าทหารยอดกตัญญู แกต้องการอะไรอีกไหม

เขาก้มลงกราบ และสะอื้นร้องให้ เขาบอกว่า เขาไม่ต้องการอะไร แค่เห็นพ่อของเขาสบายและหายดีเช่นนี้ เขาก็เป็นสุขแล้ว

อารมณ์เจ้าผีเปลี่ยนไปทันที ที่จริงเจ้าผีนี่ อดีตลึกลงไปกว่านั้น มันเป็นน้องของข้า และมันเคยตายแทนข้า โดยเอาตัวเข้าไปรับหอกที่พุ่งมาจากด้านข้าง ขณะที่ข้ากำลังรบกับข้าศึก

ชีวิตในอดีต มีแต่การฆ่า ฆ่าและฆ่าๆๆๆๆๆ ไม่เขาฆ่าเรา เราก็ฆ่าเขา และการฆ่านี้ มันจองเวรผูกพันกันมา โดยไม่รู้จบ

เจ้าผีเล่าว่า ข้านี้ ในสมัยปลายอยุธยา ได้สั่งฆ่ากบฏแผ่นดิน โดยการตัดหัวเสียบประจาน เลือดเนืองนองแม่น้ำป่าสัก ตรงหน้าวัง เพราะข้าจะให้ลูกเจ้านายข้า ขึ้นครองแผ่นดิน

เดี๋ยวนี้ เขาเรียกตลาดหัวรอ หรือหัวดออะไรนี่แหละ วิญญาณพวกนั้น ก็ยังติดตามอาฆาตข้าอยู่ เขารู้ แต่เขาช่วยอะไรไม่ได้

ข้าบอกว่า มาเถอะ ข้าจะส่งแกไปสู่ภพภูมิที่ดีและสูงขึ้น

เขาพยักหน้า และก้มลงกราบข้า ข้าแผ่เมตตาจิตไปอีกครั้ง เจาะจงไปที่ตัวเจ้าทหารผี ร่างเขาเปล่งประกาย และสลายจางไป

ข้าได้ยินทางโสตประสาทว่า เขาจะไม่ไปไหน แต่จะคอยอยู่ดูแล จนข้าสิ้นร่าง

วันนั้น ข้าเดินออกมาจาก วัดวรเชฐ เกือบสามทุ่ม ทุกอย่างเงียบมิดสนิท แต่ข้าสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

เจ้าคนขับรถ มันนอนหลับรออยู่ในรถ ใจข้าอยากจะเดินกลับไปทำสมาธิในวิหารร้างต่อ แต่ก็ต้องพอ เพราะคนเขารอ และคงสงสัยกัน ว่าข้า หายไปทำอะไร

นี่..เป็นเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำของวิญญาณ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปหลายต่อหลายร้อยปี แต่ความทรงจำเหล่านี้ สภาวะความเป็นพลังงาน มันยังบันทึกอยู่ โดยมิรู้ลืม

เรารู้ไหม ว่า ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ เรานี่ มันเป็นช่องต่อแห่งเครื่องบันทึก จะดีจะร้าย จะบาป จะบุญ มันก็บันทึก

และการบันทึกนี้ มันเป็นเหตุให้วิญญาณมันติดภพติดชาติ ไปไหนไม่ได้ และต้องเวียนวน ไปตามเหตุปัจจัย ที่ตนเองห่วงใย และเจตนามาทางก่อ

ฉะนั้น ตรงนี้ เรียกว่า สมุทัย มันเป็นใจ ที่ก่อภพชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด อาศัย อุปาทานแห่งความห่วงหา และอุปาทานแห่งการผลักใส เป็นเหตุ

 

หากเราฉลาดพอ เมื่อเรามีพร้อมแห่งเครื่องบันทึก คือกายนี้ เราก็ควรย้อมแต่สิ่งดีๆ อบรมจิต และหัดยอมรับต่อความเป็นจริงกันซะบ้าง

เอาตัวตนของความเป็นกู ให้บรรเทา ลดน้อย เจือจาง บางเบา ลงมา พอให้จิตได้มีความสะอาดตา ไม่ขุ่นมั่ว

หากเรายังคิดว่าตัวกูถูก ทำอะไรก็ถูก ไม่เชื่อฟังใคร มันก็จะเป็นจิตที่อับปรีย์จัญไร ต่อตัวเราเอง ไม่ใช่ใครเขาจะมาจัญไรด้วยหรอก

 

เรารักตนเอง เราก็พึงควรย้อมบันทึกแต่สิ่งดีๆ ให้แก่ตนเอง นั่นไม่ถูกใจนี่ไม่ถูกใจ อารมณ์ใดๆ พวกนี้ ที่เราเป็น เราเอามาย้อมจิตเราจนเป็นจิตอับปรีย์ทั้งนั้น

ไม่ได้เป็นจิตที่จะฝ่าฟันให้ใสสว่าง แห่งความหลุดพ้นอะไรเลย ก็พวกแม่คุณ เล่นตามอารมณ์กระแส ที่มาผัสสะ จนลืมตัวลืมตนไปว่า

ยิ่งตกไปตามกระแสแห่งผัสสะ จิตก็ยิ่งบันทึก ภาวะชอบใจ ไม่ชอบใจ จนหนาแน่ และบึกแผ่นจนเป็นสันดาน

สันดานนี้ จะแก้ยาก เพราะเจ้าของไม่มีสติ การสำรอกออกมาทิ้งขว้างซะบ้าง ก็จะดี แต่นี่ มีแต่ยัดๆๆๆๆ ย้อมสีบันทึกอัดๆๆๆ ให้มันแน่นๆ เข้าไป ที่สุด ความบรรลัย มันก็จะมาเยือนเรา ไม่ใช่ใครเขา

ผีทหาร ที่ตายมากว่า ห้าร้อยปี พ่อของเขา ยังไม่ไปไหนเลย ทั้งๆ ความเป็นจริง พ่อเขา ตายไปเกิดเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ มันเป็นแค่สัญญาบันทึก ว่าพ่อเขายังอยู่

แต่เขา ก็ยังมีพ่อของเขา ที่เขาแบกและยึดมันไว้ และสิ่งเหล่านี้ มันสลัดออกด้วยความคิดของตนเองไม่ได้ เพราะมันโดนย้อมและบันทึกเอาไว้แล้วว่า พ่อยังอยู่

ไอ้ที่พ่ออยู่นี่ มันเป็นสัญญาจิตแห่งตนทั้งนั้น มันทิ้งขว้างไปไม่ได้ แม้ยุคนี้ อะไรต่ออะไร จะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่ภาพทั้งหลายที่ได้บันทึกไว้ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลหรอกนะพี่น้อง

มันยังคงแสดง และเราก็ยังอยู่ในภาพที่มันฟ้องตัวอยู่ว่ามี ภาพทั้งหลายนี้ มันไม่ได้หายไปไหน แม้มันจะกลายเป็นเมืองใหม่ ประเทศใหม่ คนใหม่

แต่ใจที่มันยึดไว้ มันก็จะเห็นเป็นอย่างเดิม เพราะมันบันทึกไว้อย่างนั้น

ส่วนบ้านเมืองใหม่ ประเทศใหม่ โลกใหม่ มันยังไม่มีเครื่องมือบันทึก เพราะยังไม่มีกายใหม่ แม้บ้านเมืองจะเปลี่ยนไปไกลแค่ไหน สำหรับใจ มันไม่มี และมองไม่เห็น

นี่..หากเราฉลาดหน่อย เราจะรู้และเข้าใจว่า แท้จริงรอบๆ ตัวเรา ที่เราเข้าใจว่ามี แต่แท้จริงที่มันมี มันอาศัยเหตุปัจจัยให้มี ไม่ใช่อยู่ๆ มันก็มี และเราก็หลงยึดด้วยซี ว่าสรพสิ่งทั้งหลาย มันมีของมันแน่นอน

ถ้ามันมีจริง ผีก็ต้องเห็น ว่ามันมี อย่างที่เราเห็น แต่นี่ผีมองไม่เห็นอย่างที่เราเห็น สงสัยไอ้ที่มี เรากำลังโดนอวิชชาหลอก

เรา..เป็นทาสอวิชชา แต่เรา..เข้าใจว่า เรา…มันยิ่งใหญ่ อะไรต่ออะไร หากไม่ได้ดังใจเรา  เราไม่สนความจริงอะไร เพราะเรามัน ตัวใหญ่ ใครพูดใครว่าอะไร เราก็ไม่สนใจที่จะฟัง

ซักวัน เราคงได้กลายไปเป็นผี ที่มีแต่โลกของเรา ทั้งๆ ที่โลกของใครเขา ล่วงหน้าก้าวไกลไป เป็นล้านๆ ปี

เรา..จะจมกับความเป็นเราเพียงแค่นี้ หรือเราจะเป็นผี ที่ต้องรอใครเขา มาโมทนาบุญ

เขาและใครๆ ไปถึงไหนต่อไหน มีโลกใหม่และเข้าสู่ธรรมแห่งความหลุดพ้นไปแล้ว

อาจมีแต่ใจเรา ที่ยากจะหลุดพ้น วนอยู่แต่โลกเก่าๆ ที่เป็นกำแพง ขังใจตนเอง แหกกรอบวงล้อม แห่งเครื่องร้อยรัด ไปไหนไม่ได้

เพื่อนของเรา ญาติของเรา ศัตรูของเรา คนที่เราเคยเกียจเคยชัง โลกของเขาอาจเข้าใกล้ไปสู่นิพพาน

แต่โลกของเรา ยังมืดมิดติดกับเงา อันเป็นมายาที่เรา หลงยึดในอารมณ์จิตอย่างเดิมๆ

คือความหลง ของตัวกูไม่ยอมวาง ทั้งๆที่โลกของเราทุกคน เริ่มต้นมาจากโลกและเวลาเหมือนๆ  กัน

แต่เพราะหลงอยู่กับโลก ถูกใจและไม่ถูกใจ โลกแห่งเราทั้งหลาย จึงมีเปลี่ยนแปลงและไปไกลไม่เท่ากัน ทั้งๆ  ที่อยู่แผ่นดินเดียวกัน แต่ใจมัน…คนละโลก

คืนนี้สวัสดี ขอตัวก่อน ไก่มันร้อง สงสัยงูมากิน

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง