หวัดดี ทุกคน วันนี้เรามาต่อกันเรื่องที่
ไม่ใช่เอา อสุภะมาปลง แต่หากเรารังเกียจ อสุภะ เราจึงเอา อสุภะมาปลง ทุกวันนี้ เขาชี้กันกลับด้านกัน และชี้ธรรมไม่ถูกกาล
เรื่องอสุภะนี้ ไม่ได้เหมาะกับผู้ครองเรือน
แต่เอาเหอะ แม้เราจะไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ อยู่ในระดับจิตนี้ ข้าจะอธิบายออกมาให้ประจักษ
การปลงอสุภะ มันมีเหตุและมีกาลของมัน หากเป็นนักบวช ท่านใช้ปลง ในกรณี ใจมันเกิดความกำหนัดยินดี แต่ถึงปลงอย่างไร มันก็ยังกระดอแข็งอยู่เช่นน
มันปลงได้แค่ความคิด ท่านที่เป็นจิตอริยเจ้า ที่เรียกว่า เป็นขั้น อนาคามี ไม่ใช่ว่า เป็นผู้ ตัดความยินดี ในกามได้แล้ว ความรู้สึกไม่มีแล้ว บรรลุแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น
นี่..พูดอย่างธรรมและตรงตาม
ความอยาก ที่คิดว่าไม่อยาก มันเกิดจาก กำลังฌาณอันแรงกล้า ที่เข้าไปข่มอารมณ์เหล่านี้
แต่มันไปติดมานะ ตรงที่ว่า เจ้าตัวพอใจและยินดี ในผลที่มันไม่เกิดอารมณ์ ด้วยเข้าใจว่า มันไม่มีแล้ว ตรงนี้ เป็นอุปกิเลสตัวหนึ่ง เป็นตัวสังโยชน์ คือเครื่องร้อยรัด ตัวที่หก ที่เขาเรียกว่า เป็นมานะแห่งอนาคามี มันรัดรึงไว้
สังโยชน์อีก สี่ตัว ก็ผ่านไม่ได้ เพราะยังติด รูป และ อรูป ที่เข้าใจว่า ไม่มี และมีแล้ว โดยไม่รู้ตัว นี่..เป็นอาการฟุ้งซ่านอย่า
หากไม่มีผู้ชี้ ไปไม่เป็น ไปยาก ดีไม่ดี ตายก่อน ต้องไปทบทวน ในรูปของภพจิต ที่ไม่ได้อาศัย กายหยาบ ที่เกิดจาก ดินน้ำลมไฟ เป็นเครื่องมือ เพื่อการปรุงอีก
โน่นเลย ไปค้างอยู่อีกหนึ่งภพ ก่อนที่จะเคลียร์ เข้าสู่ความเป็นจริง ผ่านเครื่องร้อยรัด ออกมาได้ เรียกว่า เข้าถึงสังโยชน์ ทั้ง 10 ในภพภูมิ ที่เหลืออีก 1 ภพ
ฉะนั้น แม้ขั้นอนาคามี ที่พวกนักธรรมเข้าใจกันว่า หมดความกำหนัดยินดีนั้น มันเป็นเพียง ภาวะที่พิจารณาจนเห็นชัดว่า
ใจมันไม่เอา เจ้าตัวไม่เอา แต่อาการแห่งธรรมชาติโปรแกร
หากไม่มี มันก็เป็นมนุษย์ ที่ผิดปกติ มนุษย์ที่ผิดปกติ ไม่มีโอกาส เป็นพระอริยเจ้า เพราะใจเข้าไม่ถึงความสมบรู
ตรงนี้แหละ ที่ท่านเรียกว่า มานะ ในขั้นนี้ ที่ผ่านไปไม่ได้ และท่านก็ตายไป ด้วยเข้าใจว่า ท่านหมด กิเลสตัณหาทางกามแล้ว
นี่..ท่านไม่เข้าใจ ว่า มันเกิดจากกำลังใจ ที่แรงกล้าในขั้นภูมิสมาธิ คือ อนาคามี เมื่อไร้ผู้ชี้ ที่รู้จริง อริยะขั้นนี้ จอดอยู่แค่นี้
เพราะคิดว่าที่สุดแห่งธรรมม
บุรุษผู้อยู่ในธรรมขั้นนี้ หากมีผู้ชี้ ท่านจะเข้าใจทันทีว่า การที่ใจหมดความกำหนดยินดี ในรูปนั้น มันยังโต่งอยู่ เพราะ เพ่งและมีกำลังแรงมาทางด้าน
แต่ทางด้าน รส กลิ่น ผัสสะ และอารมณ์ใจ ก็ยังเสพอยู่เช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากรูปที่จะ
ไม่เอารูป เรียกว่า ไม่เย๊ดรูปดีกว่า เข้าใจง่าย แต่ยังไปเย๊ดกลิ่น เย๊ดเสียง เย๊ดรส นู่น..มันไปเย๊ดทางอื่น นี่..มันไปเข้าใจและมีมานะอ
มันเป็นอาการยึดดีอย่างหนึ่
นี่..มันเป็นแค่ช่องทางผัสส
เพราะหากอารมณ์มันหมด อารมณ์ด้านอื่น ก็ต้องหมดตามไปด้วย ไม่ใช่ว่า เจ้าของบรรลุแล้ว จบแล้ว ไม่มีแล้ว ในสิ่งนี้ แต่สิ่งอื่น มันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม มันจึงแย้งกัน กับการที่คิดว่า เป็นผู้ไม่มีอารมณ์แล้ว
เห็นไหม ว่ามันขัดกัน เพราะตราบใดที่ยังมีรูปแห่ง
หากหมดอารมณ์แห่งผัสสะจริง กินน้ำร้อนๆ ก็ไม่ต้องเป่าให้พออุ่นๆ กินพริกก็ไม่ต้องเผ็ด โดนไฟ ก็ไม่ต้องร้อน นี่..อย่างนี้ มันถึงจะหมดความรู้สึกจริงๆ
การปลงอสุภะ เป็นการปลง เพื่อลดความกำหนัดยินดี ในสิ่งที่มันน่าหลงใหล เราก็ต้องเอาสิ่งที่น่าหลงใ
เพราะความน่าหลงใหลเป็นเหตุ
ให้เห็นถึงความเป็นจริง ในสิ่งที่น่าหลงใหลนั้น ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่น่าหลงใหลนั้น มันสวยงามน่าหลงใหล จริงรึเปล่า
ในที่นี้ เราหมายถึงรูป ที่น่าพึงพอใจ หากเรามีเป้าหมาย เป็นใคร เราต้องเอาเป้าหมายนั้นที่เ
การเอาซากศพ รูปศพ มาดูมาพิจารณา มันเป็นอีกนัยยะและอีกกาลหน
เขาเอาสิ่งเหล่านี้ มาเป็นวิหารธรรม คือนำมาเป็นเครื่องอยู่แห่ง
หากจะปลงอสุภะ เพื่อที่จะตัดใจจากใจที่มัน
โยนิโส คือการพิจารณา หาเหตุหาผล และตั้งคำถาม ให้แก่ใจที่มันหลงใหล
สมัยหนึ่ง เมื่อสมัยก่อนที่ข้ายังไม่บ
สมัยนั้น ข้าเองก็เป็นผู้ทำกรรมฐานจิ
เพราะความที่ข้าเคยหลงใหล ในกาม กับผู้หญิงคนนี้ ภาพเก่าๆ ทั้งหลาย มันก็เลยเกิด ข้าทำงานไม่ได้เลย เพราะใจมันคอยสอดส่ายหาแต่ผ
ทั้งๆ ที่ข้าก็รู้ดี ว่าจริงๆ แล้ว ใจข้าเอง ก็ไม่ต้องการ เพียงแต่มันรำคาญใจ ที่มันคอยสอดส่ายเข้าไปหา นี่…เป็นอำนาจของกำลังจิต
มันเห็นภาวะใจ ที่มันส่งออกไป ยิ่งเธอมาทำดี และมีทีท่าว่า สนใจด้วย เพราะข้ามันมีกะตังค์ มันก็ยิ่งเห็นชัดถึง ความต้องการแห่งอารมณ์จิต ที่มันจะคว้า เอาเธอมาเลี้ยงดูอีก
แต่ตัวข้าเอง ไม่ต้องการ อย่างที่เห็นใจมันต้องการ ข้าเข้าใจ ว่านี่คือ อาการแห่งจิต ที่มันแสดงอาการออกมา เมื่อใจมันยังข้องแวะอยู่กั
วันหนึ่ง ข้าก็ทำสงครามกับมัน ข้าเอง ได้นิมิตทางด้านกสิณอยู่แล้
ภาพเธอ ปรากฏขึ้นมาในมโนข้า ปรากฏอย่างแจ่มใส และข้าก็กำลังขับรถอยู่ กำลังขับกลับจากที่ทำงาน ที่อยู่ใกล้เธอ ข้าเอานิมิตแห่งเธอ ขึ้นวางในมโนจิต
++ เธอสวยงามน่ารัก แล้วถามว่า >> ชอบเธอไหม จิตภายใน ตอบว่าชอบ
++ ข้าจึงกำหนดให้ผมเธอร่วงลงไ
++ จึงกำหนดให้เธอหัวโล้น >> มันก็ชอบ
++ ข้าเปลี่ยนใหม่ กำหนดจับเธอแก้ผ้าทั้งตัว ไม่ใส่อะไร และหัวก็โล้น >> ใจมันก็ชอบ
ตอนนั้น ข้าเข้าใจว่า ข้าข่มเรื่องอารมณ์พวกนี้ได
++ ข้ากำหนดให้ฟันเธอหัก >> มันก็ยังเอา
++ กำหนด ให้เป็นแผล เกิดริ้วรอย ไปทั้งหน้า >> มันก็ยังเอา
++ ข้าเลยจับแหกปาก เห็นเหงือก เห็นฟันโดยไม่มีหนังมาห่อหุ
++ จึงฉีกออกมองเห็นเป็นกระโหล
++ เมื่อไม่เอา ข้าก็รวมรูปใหม่ เป็นเธอที่สดใสเหมือนเดิม แล้วอย่างนี้..เอาไหม >> มันบอกว่าเอา
++ เมื่อกลับมาเป็นคนเดิม มันยังเอาอยู่ ข้าก็ต้องถอดออกไปใหม่ เป็นฟันที่ยุบเข้าไป ถามว่า จะเอาไหม >> มันก็บอกว่าเอา
++ ทำให้นมเธอเหี่ยว แฟบ เนื้อหนังเหี่ยว ย่น >> มันก็บอกว่ายังเอา
++ จึงลอกหนังออก เห็นตับไตใส้พุง เห็นชัดว่า ถึงตรงนี้ >> มันไม่เอา
++ เมื่อไม่เอา จึงเอาเธอมารวมรูปใหม่ แล้วถามว่า แล้วเป็นเธออย่างนี้ จะเอาไหม >> มันบอกว่า….เอา
นี่..จิตมันเป็นอยู่เช่นนี้
นี่..เขาเรียกว่า ปลงอสุภะมันไม่ตก ใจมันไม่ยอมลง แต่ที่สุด ข้าก็ปลงอสุภะตก และตกในภาวะต่อมา เมื่อขับรถกำลังจะเข้าบ้านพ
แต่วันนี้ เลยเวลามามากแล้ว พรุ่งนี้ ค่อยมาโม้ต่อ ว่าใจที่จะลงและปลงกับอสุภะ
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 2 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง