จิตว่ากันเป็นดวงๆ

จิตว่ากันเป็นดวงๆ

1343
0
แบ่งปัน

จิตว่ากันเป็นดวงๆถามตอบกันสดๆ ในเมนท์ เรื่องหลงกาย เลยเสียหายจิต…

>> ลูกศิษย์ : กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์หนูสัมผัสได้ว่าในกายมีจิตอยู่ 2 ตัวค่ะ ตัวหนื่งชื่อว่าคุณจิต อีกตัวหนื่งชื่ออีจิต ถ้าคุณจิตทำงานแล้วรู้สึกดีมากค่ะ แต่ถ้าอีจิตทำงานเมือไรรู้สึกติดลบค่ะ ก็เลยต้องเฝ้าดูมันค่ะความรู้สึกนี้ถูกต้องหรือเปล่าวคะ

<< พระอาจารย์ : พอถูกใจเราก็เรียกคุณ พอไม่ถูกใจก็เรียกอี นี่..มันเป็นปกติของใจที่คิดว่า จิตมันมีอยู่สอง มันก็เหมือนพวกนักอภิธรรมที่เขาเรียน ท่านบอกว่า จิตมี 121 ดวง

จิตดีมี กี่ดวง จิตเลวมีกี่ดวง จิตอริยมีกี่ดวง เฮ่อออ…เขาเอาอาการแห่งเวทนามาเป็นดวงจิต นับเป็นดวงๆ กลุ้มจริงๆ กับท่านนักอภิธรรม..

จิตชวนะแรก ชวนะที่ 2-3-4 เรื่อยไปเป็นจนถึง 15 โดยไม่รู้ว่า ชวนะแรกคืออะไร และมันอยู่ตรงไหน หากให้พระป่าๆ อธิบาย

ชวนะแรก ก็คือ ผัสสะ ที่สองก็คือ เวทนาแห่งอวิชา ที่สามก็คือ สัญญาในกระบวนการแห่งนาม ที่สี่ก็คือ การปรุงในสังขารจากสัญญาขันธ์ ที่ห้าก็คือ วิญญาณรู้ในสิ่งที่ปรุง

ที่หกก็คือ เวทนาที่ปรุงมาแล้ว ที่เจ็ดก็คือ ชาติในเวทนาและเรื่อยไป แบบมั่วๆ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสว่า จิตดวงเดียว ท่องเที่ยวไป

แต่นี้เหล่าสาวกมากลายให้ว่า จิตหลายต่อหลายดวง มันท่องเที่ยวไป คุคุคุ ท่านเอาอาการแห่งจิต มาเป็นตัวจิต อะไรคือจิต ยังแยกออกมาไม่ได้เลย แต่รู้เรื่องจิตและว่าๆ กันไป

เขาบอกว่า จิตเกิดปุ๊บ ดับปั๊บ ที่เหลือคือการเกิดต่อเนื่องเรียกว่าสันตติ จึงเข้าใจว่ามีจิตเกิดดับหลายดวง ไอ้ที่เกิดดับ มันเป็นอาการของจิต เหมือนเรากระพริบตา กระพริบที เป็นตาดวงใหม่ที รึไง

มันก็ไอ้ตาดวงเก่านั่นแหละ ไปให้ความหมายทำไมให้ยุ่งยาก ว่ามันมีหลายลูกกะตา กะอีแค่โดนกระพริบตา ผัสสะโช๊ะ เวทนาเกิด เกิดแล้ว เป็นตัวอวิชา คือมันไม่รู้หรอกว่า ผัสสะกับอะไร

ไอ้ที่เจ้าของมันรู้ว่า นั่นว่านี่ นั่นมันไปเป็นชาตินู่นแล้ว แวบเดียว มันมีกระบวนการไล่ปรุงกันไป จนไปใส่สมมุติเรียบร้อยแล้ว เจ้าของผัสสะแล้ว จึงรู้ว่า อะไรเป็นอะไร

ทีนี้ ผัสสะตัวแรก ทำไมจึงเป็น อวิชา ทำไมจึงไม่เป็นเวทนา ตามหลักปฏิจจสมุบบาท ตามที่ท่านๆ จำที่เขาโม้ๆ กันมา

นี่เพราะท่านทั้งหลาย ยึดมั่นในธรรมแห่งสมมุติอักษร ผิดไปจากที่ยึด มันเลยรับธรรมใหม่ๆ ไม่ค่อยได้ จำมากรู้มาก ก็ค้านในใจกันชิบหายวายป่วง นี่.. เป็นผลแห่งเครื่องยืนยันว่า เจ้าของผัสสะเป็นใจที่ยึดอยู่มากหลาย อ่านตำรามาแทบตาย จนกลายเป็นเถรใบลานเปล่า ไปซะนี่

เวทนาตัวแรก แห่งผัสสะ เรียกว่า อวิชา เมื่ออวิชาเกิด จิตสังขารก็เข้าไปปรุงแต่ง การปรุงแต่งนี้แหละ มันเป็นกระบวนการแห่งนามขันธ์ ผัสสะปุ๊บ เวทนาเกิด เมื่อเวทนาเกิด การพิจารณาในสัญญาก็เกิดการพิจารณาเกิด การเลือกเฟ้นแห่งสัญญาโปรแกรมก็เกิด เมื่อเกิดการเลือกเฟ้นปรุงแต่งไปตามสัญญาโปรแกรมเกิด การรู้ในผลที่เลือกเฟ้นมันก็เกิดเมื่อได้ผลมา หากมีสมมุติชื่อในโปรแกรมอยู่แล้ว มันก็ใส่ชื่อ ใส่รูป ใส่อะไรต่ออะไรมาพร้อมๆ กัน กับผลที่เกิดจากการปรุงแห่งกระบวนการ

ผลนั้นก็กลายมาเป็น เวทนาที่เป็นชาติ คือ รู้ว่ามันคืออะไร หรือไม่รู้ว่า มันคืออะไร นั่นแหละ ที่เป็นเวทนาที่เรารู้จักกัน คือเป็นเวทนา ที่ผ่านการปรุงแต่งมาเรียบร้อยแล้ว เรารู้จักเวทนา กันแค่นั้น แต่ไม่รู้จักกระบวนการแห่งเวทนานั้น

ตัณหาอันเกิดจากเวทนาที่เป็นผลสำเร็จรูป มันก็เลยเกิด เมื่อเกิด มันก็ไปยึดมั่นในอาการแห่งเวทนา นี่เรียกว่า อุปาทาน อุปาทาน ก็คือ การยึดมั่นถือมั่น ในเหตุแห่งตัณหา ที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบ อาศัยเวทนาที่เกิดมาจากเจ้าของไปผัสสะ

ขอตัวแป๊บ ต่อกันเลย แต่จำไม่ได้แล้ว ว่าโม้ไปถึงไหน ฮ่าๆๆๆ ธรรมมันหดหายไปแล้ว แต่อย่างน้อยวันนี้ ก็ได้โม้ภาษานอกกับเขามั่ง เดี๋ยวจะคิดว่า เว้าภาษาที่เขานิยมกันไม่เป็น

ธรรมะอะไรก็ไม่ ฟังง่ายเกินไป คงไม่ใช่ธรรม เพราะไม่ได้ว่า ภาษานอกตามตำรา.. คราวนี้ ตัณหาที่ผุดออกมาจากใจไม่รู้จบนี่แหละ ที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสว่า เป็นเหตุ

ตัวนี้..มันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง และมันก็เป็นต้นเหตุให้ดับทุกข์ทั้งปวงเช่นกัน ท่านเรียกว่า เป็นหลัก อริยสัจ หลักอริยสัจ มันอาศัยองค์ประกอบ ของหลักเหตุหลักผล

เพราะเหตุมี ผลจึงมี นี่ เป็นกฏหลักที่เรียกกันว่า เป็นกฏของอิธทัปปัจจยตา คือ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ นี่ กฏหลักมันแสดงตัวมาเช่นนี้

เมื่อครบกาล วนรอบไปตามกระบวนการของมัน จึงเรียกว่า เป็นวงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท วงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท ก็คือ อาการหนึ่งของ อวิชา..

เพราะอวิชาตัวนี้ มันอาศัยผัสสะเกิด ผัสสะตัวแรก จึงเป็นตัวเวทนา นี่…มันเป็นเวทนา ที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง ซ้อนอยู่ในรูป

>> ลูกศิษย์ : รอเดี๋ยวเปิดหนังสือดูก่อนค่ะทวด ทวดตามไม่ทันค่ะรอเดี๋ยวค่ะ

<< พระอาจารย์ : เปิดให้ตาย ก็ไม่มีตำราอธิบายละเอียดลงไปเช่นนี้ ป้า.. งั้นป้าไปเอาตำราเหอะ กำลังขี้เกียจอยู่พอดี บ๊ายบ่าย หากใครอยากจะฟังต่อ ก็ค่อยมาถามมาฟังเหอะ บ่ายโมงแล้ว…

ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม จากบทธรรม เรื่อง หลงกาย..เลยเสียหายจิต..!! ณ วันที่ 1 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง