หลงกายเลยเสียหายจิต

หลงกายเลยเสียหายจิต

1143
0
แบ่งปัน

หลงกายเลยเสียหายจิต<< พระอาจารย์ : หวัดดี ทุกๆ ท่าน นี่เป็นเวลาเย็น เป็นไงมั่ง

>> ลูกศิษย์ : ร้อนสุดยอด

<< พระอาจารย์ : ร้อนป้าแก ปอบ ข้าเพิ่งซัดน้ำแข็งเข้าไป ตะกี้

>> ลูกศิษย์ : มืดแล้ว…

<< พระอาจารย์ : มืดเรื่องของแสง ที่หายไป แต่ที่นี่ ตอนนี้ เย็น เย็นเพราะได้กินน้ำแข็ง จิตข้านี้ ละเอียด แค่น้ำแข็งแก้วเดียว ข้าเย็นทั้งกาย

ใจมันจะจรดจ่อ อยู่กับความเย็น ที่ซ่านออกมาจากภายใน มันกระจายออกไปตามรูขุมขน อย่างตอนนี้ ความเย็นมันซ่านไปตามแผ่นหลังไล่ไปยังไหล่ และแถวหน้าอก จะเป็นไอเย็นชุ่มกระจายอยู่เช่นนั้น

หากข้ากำหนดจิต อายแห่งความเย็น มันจะเห็นชัดประจักษ์ใจ ว่ามันเดินทางออกมาอย่างไร และใจก็จับอยู่กับสัญญานั้น น้ำแข็งแก้วเดียว ข้าจึงเย็นอยู่ตลอดเวลา

ทั้งๆ ที่ความจริง ความเย็นนั้น มันสลายกลายเป็นไอร้อน ไปตั้งนานแล้ว นี่..เป็นการทำกสิณอย่างหนึ่ง เรียกว่า เตโชกสิณ

เราดึงเอาความเย็นทั้งหลาย มารวมอยู่ที่เหนือสะดือ แล้วกระจายออกไป ความเย็นทั้งหลาย จะแผ่กระจายซ่านด้วยไอเย็นภายใน อยู่อย่างนั้น

นี่..ทำกสิณอย่างง่ายๆ เอานิมิตหมาย แห่งวัตถุ ที่ผัสสะ ในขณะจิตนั้น เป็นตัวตั้งขึ้นมา นั่นก็คือ ความเย็นจากน้ำแข็ง ที่เป็นอุณหภูมิ หรือไฟ หรือเตโชนี้ แผ่ซ่านกระจายออกไปตามสกลกาย

สำหรับข้า เย็นสบาย ทั่วทั้งตัว จะกำหนดให้ไปเย็นตรงไหน ไอแห่งความเย็น มันก็แผ่ซ่านไปยังจุดนั้น แต่ถ้าหากกำหนดกลางๆ ทำความรู้สึก แผ่กระจายไปทั้งตัว มันก็เย็นไปทั้งตัว

เหมือนเรานึกถึงเล็บ เราก็จะรู้สึกถึงเล็บ แต่เราไม่รู้สึกถึงแผ่นหลัง แต่หากเราวางใจกลางๆ ทำความรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งตัว มันก็รู้สึกได้ทั้งตัว โดยไม่เจาะจงอยู่กับสิ่งใดๆ มันก็รู้ได้ทั้งตัวเช่นกัน

อาการแห่งความเย็นที่แผ่ซ่านไปในสกลกาย มันก็เป็นเช่นนั้น ถ้าข้าต้องการเย็นที่หู หูข้าก็จะเย็น หากข้าต้องการเย็นที่ฝ่าเท้า ฝ่าเท้าข้าก็จะเย็น หากข้าต้องการให้มันเย็นทั้งเรือนร่าง ทั้งเรือนร่างก็จะเย็น

นี่เป็นอำนาจแห่งจิต ที่มีกำลัง เราสามารถเล่นกสิณกองไหนก็ได้ ได้หนึ่งกอง ที่เหลือ เราทำได้หมด เป็นเพียงแค่การกำหนด เจตนาใหม่เท่านั้น

แต่เวลากลางวัน ตอนทำงาน ในข้ามันจรดจ่ออยู่กับงาน มันมีสมาธิอยู่กับงาน ข้ากำหนดกสิณอย่างไร ให้กายเย็น มันเย็นแค่ชั่วกำหนด

เย็นได้ไม่นาน เพราะการทำงาน มันแกว่งไปด้วยอริยาบท และหลากความคิด ในแง่มุมของเนื้องาน ทำให้การกำหนด ไม่เฉียบคม

อย่างตอนนั่งจิ้มโม้ให้พวกเราฟัง มันเป็นในที่มีสมาธิสูง เพราะมันกำลังฟังธรรมที่ไหลออกมาจากใจ เช่นเดียวกับพวกเรา

ข้าและพวกเรา ได้ฟังธรรมแห่งการไหลหลั่งออกมาจากใจ พร้อมๆ กัน ไม่ใช่เป็นธรรมที่ข้าต้องมานั่งคิด นั่งตรึกตรอง

ไม่มีธรรมอันใดที่ข้าช่ำชอง หรือรู้เรื่อง มากไปกว่าพวกเราเลย ข้าได้รับฟัง พร้อมๆ กันกับพวกเรา พูดงี้ เราคงไม่เชื่อกัน

แต่ขอให้เชื่อเหอะ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าเองโง่จะตาย ไม่ค่อยรู้ธรรมซักเรื่อง เพราะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสืออะไรมากมายนัก

เป็นผู้ที่ไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยจำอะไรได้มากมาย นักหรอก แต่หากเกิดผัสสะ ที่มีค่าควรแก่การพิจารณา มันก็แสดงผัสสะนั้นได้อย่างละเอียดละออ

มันสาวผลไปหาเหตุของมันได้ด้วยตัวของมันเอง มันดูเหมือนจะเข้าใจ ในทุกเรื่อง ที่ได้ผัสสะ แต่..มันไม่จำ และจำไม่ได้ซักเรื่อง ที่ได้แสดงเหตุและผลออกไปแล้ว

เมื่อมีผู้เก็บรวบรวมธรรม ข้าก็กลับมาอ่านซ้ำ แหมม..จะบทไหน จะเป็นธรรมอันใด มันก็แจ้งสว่างสดใส ถูกใจและใช่ๆๆๆๆ ไปซะหมด

แน่นอน…ธรรมมันแสดงตัว ไม่ใช่ ข้าแสดงธรรม ข้าไม่ได้เป็นเจ้าของแห่ง บทความธรรมเหล่านั้นเลย การพิมพ์ส่งไปนี้ก็เช่นกัน

จะบอกว่า นิ้วมันไปเอง ก็คงไม่มีใครเชื่อ ธรรมชาติข้า เป็นคนจิ้มที่ละตัว และหาอักษรพยัญชนะ ไม่ค่อยเจอ มันอยู่ตรงไหนบ้างก็ไม่รู้

ข้าเคยหาตัว ฌ.. ไม่เจอ และมั่นใจว่า เขาคงไม่ทำลงมาในแป้นพิมพ์อย่างแน่นอน เพราะข้าหาอย่างละเอียด 2 วัน หายังไงก็ไม่เจอ นี่..ข้าเป็นธรรมดาของข้าแบบนี้

ฉะนั้น..ข้าบอกนักบอกหนา บอกหลายๆ ครั้ง มากๆ ครั้ง ว่า เรามาฟังธรรมร่วมกัน แต่ไม่ค่อยจะมีใคร ใส่ใจเท่าไหร่เลย

ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นประโยค ต่อประโยค ใครได้ฟัง มันเกิดอานิสงส์ ทำใจให้ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ไปได้ เพราะนี่ เป็นการบันลือ สีหนาทแห่งบทความธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากใจ เหล่าผี ก็ยืนยัน ว่ากุศลแรง

กุศลไหนเลย จะมีอานิสงส์ เท่ากับการได้ยินได้ฟังกันสดๆ เป็นไม่มี เพียงแต่ธรรมนี้ มันเป็นเครื่องเล่น ของเล่น ไม่มีค่าอะไร สำหรับใจของปุถุชน ก็แค่นั้น

แต่มันมีความประเสริฐล้ำ ต่อจิตที่มุ่งสู่ความเป็นอริยเจ้า เป็นล้นพ้น และข้าเอง ก็ชอบฟังธรรมที่ไหลออกมาเช่นนี้เหมือนกัน ผีก็มาฟัง เทพก็มาฟัง เหล่าพรหมเทวา ก็มาฟัง

แต่พวกเราบางคน ดูละคร กินข้าว ทำนู้นนี่ก่อน เล่นเฟส คุยเฟส คุยไลน์ก่อน ค่อยมาฟัง ข้านี้ แสนจะขำ พฤติกรรมของอาการจิต ที่พวกเราต่างพากันเสวย โดยไม่รู้ตัวหรือรู้ค่า เสียจริงๆ

มีเพชรมีของมีค่า แท้ๆ แต่กลับใช้ไม่เป็น ไม่คุ้มค่า ที่วิบาก ส่งผลมาให้เจอธรรม มันน่าเสียดาย ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี เวลา 24 ชั่วโมง เอาไปทำอะไรกันหมด

ทำไมไม่จัดสรร เวลา แล้วลองหาสิ่งมีค่า หยอดกระปุก ให้กับใจตนเองบ้าง หยอดอยู่ได้ แต่เรือนกาย หลงมันจังกับเรือนกาย

หาผัว หาเมีย หาอาหาร เสื้อผ้าดีๆ ให้มัน แสวงหากันดีจัง ทั้งๆ ที่มันเป็นเพื่อนที่คบหาไม่ได้เลย แต่ก็ยังหลงคบหามันจนหน้ามืดตามัว

ที่สุด มันก็เน่า ก็ตาย ไม่ไปกับใครที่แสนรักมันชิบหาย ด้วยหรอก มันเท่งทึง ชิ้งหน่องกุ๊ก ไม่รู้ไม่ชี้ กะซี้มัน ที่ลงทุนลงแรงกับมัน บ้างเสียเลย

แต่จิตที่ไม่ได้ให้ของมีค่ากับมันบ้าง ซวยเลย เพราะจิตมันเป็นเพื่อนตาย ที่ไม่ทิ้งเรา แต่เราดันไม่ส่งเสียเลี้ยงดูจิตเรา ให้มันมีปัญญา

เพราะมัวแต่ไปเลี้ยงดูกายา จิตก็เลยโง่ และโง่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โง่ชิบหายวายป่วง ไปไหนไม่ถูก เลยพากันไป ลงนรกบ้าง พาไปเป็นเปรตบ้าง อสูรกายบ้าง สัตว์บ้าง

นี่..เพราะจิตมันเป็นเพื่อนที่โดนทอดทิ้ง จากเรามาก่อน มันก็เลยโง่ๆๆๆๆๆ และ โง่ชิบหาย แต่มันก็รัก และไม่ยอมทิ้งเรา เพื่อเอาตัวรอด

มันเลยต้องไปร่วมเสวยทุกข์กับเรา เพราะเรา มันหลงและโง่ แสวงหา ยัดลงให้แก่กาย เพียงอย่างเดียว คืนนี้ ข้าขอแช่งให้พวกแก จงร่ำรวยกันทุกคน จะได้มีเงินเหลือล้น มาบำเรอกาย ให้สบายยิ่งๆ ขึ้นไป

คืนนี้ …..สวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง