การร้องขอ

การร้องขอ

993
0
แบ่งปัน

การร้องขอ<< พระอาจารย์ : หวัดดีเช้าวันสุข ไง..ปอบ แกยังไม่นอนหรือ

>> ลูกศิษย์ : ตื่นแล้วค้าาาอิๆ

<< พระอาจารย์ : กุศลกรรมที่แกได้กระทำไว้ มันให้ผลชัดเจนดี ไม่ต้องรออะไรมากมาย เพราะเป็นคนศรัทธาด้วยใจ และฉลาดพอว่าอะไรเป็นอะไร

เช้าวันที่ 6 เมษานี้ เหล่าพรหมเทวา จะมารวมตัวกันโมทนาที่บุญญพลัง ท้าวมหาราช เหล่าท่านอินทกะ ยักษ์ และเหล่านาคทั้งสี่เผ่าพันธุ์

ทั้ง นาคสีทอง สีเขียวเหลือง สีดำ และต่างๆ จะมารวมกัน อนุโมทนา องค์พระพุทธะ ในวันนี้ ผู้ที่อยากอธิฐานจิต เพื่อความตั้งมั่น ในผลที่อธิฐาน มักจะมีผลเป็นไปตามอธิฐาน

หากการอธิฐานนั้น ไม่เกินกำลังแห่งภาชนะเรา พูดอย่างนี้ เหมือนเป็นการร้องขอ เรื่องร้องขอนี้ พุทธศาสนา ไม่ได้ชี้แนะให้มีการร้องขอ

และข้าเอง ก็ไม่สนับสนุนการร้องขอ เพราะเห็นว่า เป็นความงมงาย ความจริง การร้องขอ มันมีมุมของมัน ที่เราเข้าไม่ถึง

การร้องขอนั้น หากร้องขอ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ขอให้ไม่เจ็บ ขอให้ไม่ป่วย ขอให้ไม่ตาย ขอให้นิพพาน สิ่งเหล่านี้ ร้องขอไป เป็นเรื่องของคนโง่

เพราะขอยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ ท่านจึงไม่ชี้การร้องขอแบบนั้น ศาสนาอื่นๆ จะมากไปด้วยการร้องขอ ขออย่างนั้น ขออย่างนี้ ขอจากพระเจ้า ขอจากเหล่าพรหมเทวา ขอจากสิ่งต่างๆ ที่คิดว่ามี

การขอเหล่านี้ ท่านกล่าวว่า มันไม่เป็นผล แต่สิ่งที่นักแปล ไม่เข้าใจ และไม่รู้เข้าไม่ถึงอีกนัยแห่งการขอก็คือ อธิษฐาน แต่นั้นแหละ มันก็มีนัยยะที่ละเอียดซ่อนลึกลงไปอีก

การอธิษฐานกับการขอ มันมีนัยยะใกล้เคียงกัน การอธิษฐาน ก็เป็นการขออย่างหนึ่ง ที่ต้องอาศัยกำลังแห่งสัจจะ บารมี คนมีสัจจะบารมี ขออะไร ต้องการอะไร วิบากผลย่อมให้ และเป็นไป ตามกำลังแห่งสัจจะที่มีกำลังของแต่ละคน

คนไม่มีสัจจะ อย่าได้ขออะไรเลย มันไม่เป็นผล เพราะกำลังใจขาดความตั้งมั่น ที่จะบันดาลให้เป็น ในสมัยพุทธกาลเอง หากแปลบาลีออกมา ก็มักจะมีแต่คำขอว่า ขอให้ข้าพเจ้า อย่างนั้น ขอให้ข้าพเจ้าอย่างนี้

แม้แต่การให้พร ท่านก็ขอให้สมความปรารถนาอย่างนั้น ขอให้สมความปรารถนาอย่างนี้ การขอเหล่านี้ มันเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ

รู้สึกชื่นใจ ที่การกระทำใดๆ มันมีจุดหมายที่เป็นผล ท่านเรียกว่า การตั้งสัจจะ อธิษฐาน ส่วนได้ ไม่ได้ จริงไม่จริง มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ท่านจึงชี้ ไม่ให้ยึดกับการร้องขอ แต่ไม่ได้บอกว่า ร้องขอไม่ได้ นี่..ความเข้าใจแห่งปัญญาคน มันแยกแยะตีความมาไม่ละเอียด

คนเราหากไม่มีปัญญา ย่อมร้องขอแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การร้องขอ ด้วยอำนาจแห่งโมหะ คือความหลง ย่อมเป็นการร้องขอ ที่ไม่ถูกทาง

เพราะใจมีความยึดมั่นในการร้องขอ เมื่อไม่สมความตั้งใจ ไม่ได้ดั่งใจ ความเสื่อมแห่งความตั้งมั่น ย่อมมาเยือน อันที่จริงการร้องขอทุกอย่าง มันมีผลของมัน

เพราะโปรแกรมจิต จะตั้งโปรแกรมเพื่อดำเนินไปตามจุดมุ่งหมายที่ร้องขอ แต่นั่นแหละ มันอาศัยเหตุปัจจัยอันหลากหลาย นั้นก็คือ กำลังใจ ที่เรียกว่า บารมี

อาหารแห่งบารมีก็คือ กาลแห่งการสะสม เหมือนอย่าง ฉันขอให้มีรถซักคัน เราก็ต้องเริ่มเก็บตังค์ งดการใช้จ่ายในบางเรื่องลงไป

เพื่อนำมาชดเชยให้เป็นตังค์ในการทำให้เกิดรถขึ้นมา มันก็ต้องใช้เวลาอีก จะมีตังค์พอซื้อหรือไม่พอซื้อ แต่ผลก็คือ มันมีตังค์เก็บจำนวนหนึ่ง เพื่อซื้อรถละ

หากกำลังไม่พอ ก็รอกันไปจนกว่าจะพอ แต่ถ้าล้มเลิก ไม่เอาแล้วรถ มันเกินกำลัง ตังค์นั้นก็เป็นรถอย่างหนึ่ง ที่ได้เป็นตังค์มา จากการสะสมที่จะซื้อรถ

นี่..การขอมันมีเหตุปัจจัยของมันอีก แต่ที่แน่ๆ มันอาศัยกำลังใจ แห่งสัจจะในการประกอบขึ้นมาให้มี หากไร้สัจจะ ไม่เก็บตังค์ มัวนอนรอนั่งรอ ว่าวันหนึ่งรถจะมี ชาตินี้…ท่านไม่มีรถ แถมไม่มีตังค์ด้วย

แต่ถ้าหากความต้องการมันแรงกล้า มันจะเป็นผลส่งให้ ชาติแห่งอนาคต มีเหตุปัจจัยให้มี ยานพาหนะ ที่เป็นของตนเองได้

นี่..ด้วยเพราะแรงแห่งการขอ ที่มันส่งผลมาให้ แต่ต้องรอกาลและเหตุปัจจัย ท่านจึงชี้ไว้ ว่า อย่าไปยึดกับการร้องขอ หากเรายึดการร้องขอ ชีวิตเราจะจมดิ่งอยู่กับสิ่งที่เลื่อนลอย

เพราะผลแห่งวิบากที่ร้องขอ มันส่งผลด้วยกาล ที่ไม่แน่นอน มันอาศัยสัจจะและความตั้งมั่นเป็นเหตุ แต่สำหรับข้า ข้าขอสิ่งใด มักเป็นสิ่งนั้น ตามกำลังแห่งจิต

เพียงแต่ ข้าไม่ได้ขออย่างโลกๆ เขา แต่กำลังแห่งการร้องขอ สำหรับข้าเองในบางเรื่อง ให้ผลเร็ว เมื่อมาพิจารณาด้วยกำลังแห่งจิต จึงเห็นชัดว่า

มันเกิดจากความตั้งมั่น ใส่ใจ วินิจฉัย และเข้าถึงเหตุปัจจัย ที่ท่านเรียกๆ กันว่า เป็นผู้มี อิทธิบาทสี่

นี่..ตรงนี้ ทำให้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ตามกำลังแห่งการร้องขอ ที่ไม่เกินกำลังแห่งสัจจะ บารมี ในวันที่ 6 เมษายนที่จะถึงนี้

ข้าเองมักชี้ว่า การร้องขอไป ก็ไม่มีผล และมีประโยชน์ แต่ข้าไม่ค่อยได้อธิบายหลักเหตุหลักผล ในการร้องขอว่า อะไร ทำไม ถึงไม่มีประโยชน์

วันนี้ มาสะกิดกันให้เห็นแนวทางกันคร่าวๆ ว่าการร้องขอ ทำไมถึงไม่มีผลดังใจเรา และได้ผล ดั่งใจเรา มันมีเหตุปัจจัย มาสนับสนุนและเกื้อกูล ตามผลแห่งวิบากจิต

อะไรที่เกินกำลังแห่งอัตภาพ ที่เรามีอยู่ในชาตินี้ ร้องขอไป ชาตินี้ ย่อมไม่มีผล อย่างเช่น ขอให้เข้าถึงนิพพาน ขออย่าให้เจ็บให้ป่วย ขออย่าให้แก่ฯ

การขอเช่นนี้ เมื่อร้องขอไปแล้ว การปรุงแต่งแห่งจิต มันดำเนินทางของมันไปแล้ว มันสะสม เพื่อหาทาง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่แก่ และนิพพานไปแล้ว

การร้องขอเช่นนี้ เป็นไปตามกำลังแห่งสัจจะ และการกระทำที่ตนเองร้องขอ แต่ที่สุด มันจะให้ผล ทุกอย่างที่ท่านขอ

เพียงแต่ผลนั้น มันอาจยาวนาน จนนับชาติไม่ได้ หรืออาจแค่ ใช้เวลา แค่ชาตินี้ชาติเดียว มันก็ยังไม่แน่ การร้องขอ ในพุทธศาสนา ท่านชี้มาในแนวนี้

ไม่ใช่ว่าห้ามการร้องขอ แต่พระผู้ชี้ มันก็ร้องขอเอาๆๆๆๆๆ ในวันสมโภชน์ ที่จะถึงนี้ เหล่าอทิสมารกาย จะมากันหลากหลาย เพราะเป็นการมาร่วมนมัสการ ปาฏิหาริย์ แห่งกำลังใจ

ในวันนั้น กำลังบารมีของแต่ละท่าน มาเป็นกำลังพร้อมกันที่เศียรองค์ท่าน เราตั้งจิตอธิษฐานอะไรใดๆ ออกไปได้ ในวันนั้น

เพราะคำอธิษฐานแห่งเรา ท่านเหล่านั้น จะเป็นพยานบุญให้ อะไรที่จักช่วยเหลือได้ ท่านเหล่านั้น ก็พึงจะช่วยเหลือ เพราะนี่คือ โลก..

เป็นโลกแห่งกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา และท่านเหล่านั้น ก็อาศัยโลกเช่นนี้ อยู่เช่นกัน จึงเป็นสัตว์ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนๆ กัน

เพราะวันหนึ่ง ท่านเหล่านี้ ก็ย่อมกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างเช่นท่านและเราเหมือนๆ กัน ฉะนั้น การร้องขอ เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ที่แปลกก็คือ มันไม่ได้ดั่งใจใครก็เท่านั้น ส่วนพระอริยเจ้า ที่พ้นแล้ว ด้วยเหตุปัจจัย ท่านไม่ร้องขออะไรอยู่แล้ว เรา…ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ผู้หลุดพ้น เป็นเด็กน้อยที่ยังร้องขอ

เราก็พึงร้องขอ เท่าที่เราพึงมีปัญญาคิดเห็นเถิด เพราะวันนั้น กำลังแห่งบารมี มากันกองสุมอยู่ในที่เดียวกัน และการจัดสมโภชน์ครั้งนี้ เป็นกุศโลบายจิต ที่สำคัญ เหล่าพรหมเทวา ท่านขอมา

ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ แค่เรามาร่วมทำกิจ และร่วมเป็นสักขีพยานบุญ เป็นอันหวังได้ว่า ชาตินี้….เรามีแวว ไปสว่างมากกว่าทางมืดมิดแน่

เพราะเรามีกำลังแห่งการร้องขออธิษฐาน ที่ประจักษ์ใจอยู่เบื้องหน้า นั่นคือตัวแทนแห่งองค์พระ ที่เป็นปาฏิหาริย์แห่งกำลังใจ ที่พวกเรามีส่วนร่วม ได้เกิดตั้งตระหง่านขึ้นมาท่ามกลางโลกวุ่นๆ ใบนี้แล้ว… เช้านี้..ขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 30 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง