สัมมาหรือมิจฉา…ต่างก็เป็นอาการแห่งจิต!!

สัมมาหรือมิจฉา…ต่างก็เป็นอาการแห่งจิต!!

708
0
แบ่งปัน

สัมมาหรือมิจฉา...ต่างก็เป็นอาการแห่งจิตธรรมจากการคอมเมนท์ในเฟส …

ใจที่มีธรรมมันก็ว่าออกไปตามธรรมนั่นแหละครับท่าน ตะก่อน เรามักจะปรุงแต่ไปตามความคิด ที่มันเลื่อนลอย เราคิดของเราไปเรื่อยเปื่อย เสมือนว่าว ที่ไร้สายป่านฉุดรั้ง

นั่น..เป็นอาการธรรมดาแห่งจิต ที่มันต่างปรุงเป็นอาชีพของมัน เรียกว่า มิจฉา อาชีโว นี่..เดอะคำนอกซักหน่อย มิจฉาอาชีโว ก็คือ อาชีพที่ปรุงแต่ขยายธุรกิจออกไป โดยไม่มีใจมาเป็นผู้ดูแล และควบคุม

ผลแห่งการประกอบอาชีพ มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ความทุกข์ใจก็มาเยือนเจ้าของอยู่เรื่อยๆๆ เพราะเจ้าของ ขาดผู้ดูแลสอดส่อง ธุรกิจภายใน

มันจึงเป็น มิจฉาอาชีโว เป็นการดำเนินอาชีพ โดยทางมิชอบ นี่..ภาษานอกเขาเรียกว่า สมุทัย เป็นหนึ่งในการดำเนินมาทางโลกธรรมแปด

ส่วน สัมมาอาชีโว เป็นอาชีพชอบ มีผู้ดูแล สอดส่อง ตัณหาที่ผุดขึ้นมาจากใจไม่รู้จบนั้น ทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมั่นคงและแข็งแรง เป็นการแสวงหา อาชีพชอบ

เพราะมันมีผู้สอดส่องดูแลอย่างผู้มีศักยภาพ เป็นผู้ดำเนินมาทาง อริยมรรค คือหนทางการดำเนินอาชีพ อย่างเป็นผู้ประเสริฐ

นี่..ใจมันดำเนินของมันมาอย่างนี้ ตะก่อน มันไม่ดำเนินมาอย่างนี้ มันปรุงแต่งเรื่อยเปื่อยของมันไป เราก็เอาอาการแห่งการปรุงนั้น มาเป็นเจ้าของ โดยคิดว่า เรานั่นแหละผู้ปรุง เรานั่นแหละผู้คิด เรานั้นแหละผู้เป็น

เมื่อมีเราเป็นเจ้าของอาการปรุง ที่ขาดสายป่านในการยั้งคิด ยั้งทำ มันเป็นภาวะจิต ที่มีอาชีพ ไม่สุจริต ท่านเรียกว่า เป็นมิจฉาอาชีพ หรือ มิจฉา อาชีโว

เมื่อดำเนินอาชีพมาทางมิจฉา อีก 7 ตัวก็เป็นมิจฉาหมด เรียกว่า เป็นใจแห่งกระแสธาร แห่งโลกธรรมแปด นี่…ตะก่อนเป็นเช่นนี้ ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบแค่ไหน มันก็ดำเนินไปทาง โลกธรรมแปด

ทั้งๆ ที่คิดว่า นี่…เราดำเนินมาทาง อริยมรรคแปด เรามันแปดอริยมรรคแบบยัดเยียด และมั่วๆ คิดเอาเอง เมื่อธรรมมันมากระจ่างใจ มันก็ปรุงของมันอีกเหมือนเดิม ไม่แตกต่างกัน

เพราะมันต้องมีอาชีพเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เพียงแต่การปรุงแต่งที่เป็นอาชีพของมันนี้ มันมีผู้ดูแลรักษา ไม่ได้เป็นผู้เป็นเจ้าของ

เมื่อไม่ได้เป็นเจ้าของ มันก็เห็นอาชีพทั้งสองฟาก ที่มันดำเนินกิจการ มันรู้ว่า ตะก่อน มันก็มีอาชีพประกอบการเลี้ยงจิตแบบเรื่อยเปื่อย ไร้ผู้ รับผิดชอบและดูแล แต่มาบัดนี้ มันเห็นการปรุงแต่ ที่เป็นอาชีพใหม่

เมื่อมันผัสสะกับอะไร มันก็จะปรุงแต่งขยายไปตามนามขันธ์แห่งกำลังของปัญญา มันก็ปรุงเหมือนกัน แต่เป็นการปรุงที่ ขยายผลแห่งการกระทบ

กระทบทางรูป มันก็วินิจฉัยรูป ทางกลิ่น ทางเสียง รส สัมผัส อารมณ์ หรือใดๆ ที่มัน ผุดขึ้นมาจากใจ มันก็ปรุงก็ขยาย ของมันตลอดทั้งวัน

มันไม่เคยหยุดปรุง มันขยันปรุงขยันทำ เพราะเป็นอาชีพที่มัน ถนัด เจ้าของธุรกิจ ก็เป็นเพียงผู้เฝ้าดู เฝ้าดูอย่างสนุกสนานกับการขายที่มันปรุงขึ้นมา

มันไหลต่อเนื่องทั้งวัน ไม่ว่า มันจะผัสสะกับสมมุติอะไร มันปรุงจนแตกกระจาย โดยการสาวผลนั้นไปหาเหตุ มันสาวแล้วสาวอีก จนลึกและละเอียด มันจึงจะวางแล้วหาเหตุหาผลในผัสสะที่เข้ามาใหม่

นี่…ผู้เข้าถึงธรรม กับผู้ที่ยังไม่เข้าถึงธรรม มันแตกต่างกันแค่นิดเดียว ไม่ได้วิเศษวิโสกว่ากันอะไรที่ไหนเลย มันเป็นการปรุงแต่งสมมุติสัญญา เสมอกัน

แค่อีกฝ่ายปรุงมาทางด้าน สัมมา อีกฝ่ายปรุงมาทางด้าน มิจฉา

ผลแห่งสัมมา ก็ดำเนินมาทางอริยมรรคแปด ผลแห่งมิจฉาก็ดำเนินมาทาง โลกธรรมแปด

โลกนี้ มีสองแปด มีใจเป็นผู้ดำเนินทางการปรุงของมันเอง คำว่าเรานี้…เป็นแค่ตัวเสือกในการเป็นเจ้าของการปรุงก็แค่นั้น ตราบใด ที่มันยังปรุงมาทางโลกธรรมแปด ก็แสดงว่า มันยังไม่สุกงอมดี

แม้จะมีสติเฝ้ารู้เฝ้าดูติดตามมันตลอดก็ตามที มันก็ยังเป็นใจที่อยู่ในหนทางอาชีพแห่งโลกธรรมแปด แต่เมื่อใด ที่ใจมันสุกงอมดีแล้ว

แม้เจ้าของจะคิดว่า นี่ฉันมีอาชีพมาทางโลกธรรมแปดนะ แต่ใจมันก็ปรุงมาทาง อริยมรรคแปดอยู่ดี

ท่านถึงได้กล่าวว่า ผู้ที่ทุศีล รูปไม่ดี วาจาไม่ดี ใจไม่ดี แต่เข้าถึง เจโตวิมุติ หรือเข้าถึงแห่งปัญญาวิมุติท่านเหล่านั้น เป็นผู้นำเอา เจโตวิมุติ และปัญญาวิมุตินั่นแหละ ทำลายความทุศีลนั้น

ท่านก็จะพ้นไปเสียได้จากทุกข์ เป็นผู้ที่นิรทุกข์ ได้อย่างน่าชื่นชม ท่านใดที่ศีลดี ศีลบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยในเรื่องทุศีล ทั้งวาจางาม ใจงาม แต่เข้าไม่ถึงซึ่ง เจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุติ

ท่านก็ไม่สามารถพ้นจากทุกข์ไปได้ เพราะไม่มีปัญญามาเป็นเครื่องชำระ ให้ศีลที่บริสุทธิ์นั้น ให้บริสุทธิ์เพื่อพ้นเสียไปจากทุกข์ ทั้งปวงได้

ท่านจึง ไม่ให้ประมาท ซึ่งกันและกัน นี่บ่ายโมงแล้ว ขอความสวัสดีมีชัย พึงบังเกิดกีบทุกๆ ท่าน สวัสดีครับ…!!

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง เด็กๆ…กินยายาก..!! ณ วันที่ 26 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง