โดนผีไล่ที่…ท่อน 2

โดนผีไล่ที่…ท่อน 2

844
0
แบ่งปัน

หวัดดี จะร่าาา อ้าว จะสองทุ่มแล้ว เดี๋ยว ไม่ได้โม้อีก มาๆๆๆๆ เมื่อคืนโม้ถึงไหนแล้ว ตกลง ข้าก็ตั้งใจ ว่าจะอยู่ต่อ

วันนั้น หลังจากเดินจงกรม พิจารณา เหตุแห่งความกลัว มันก็รู้ชัดว่า มันเป็นอาการ หลงอย่างหนึ่ง ที่สติมัน มีกำลังไม่พอ

มันขาด กำลังแห่งสมาธิ ไม่ใช่ว่า ข้าไม่มีสมาธิ ถ้าสมาธิที่หมายถึงนั่งหลับตา แล้วใจสงบแบบเราๆ น่ะ กับข้า ไม่ต้องพูดถึง

หายใจไม่กี่พรืดดด ข้าก็เหลือแต่สติลอยเด่น เป็นอุเบกขาแล้ว ไม่ใช่ ความหมายแห่งอาการ สมาธิอย่างนั้น สมาธินี้ ที่มีไม่พอ ข้าหมายถึง ความตั้งมั่นแห่งสติ ที่พร้อมมูล

ทั้งสมาธิ ที่ตั้งมั่นต่อผัสสะ และปัญญาที่เท่าทัน กับสมาธิ ที่มีสติ กระทบกับผัสสะเหล่านั้น นี่..คือความหมาย สำหรับใจ ที่มีภูมิอย่างที่ข้าเป็น

เดี๋ยวคำถาม มีมาวุ่นอีก เพราะเรามันเข้าใจกันโต่งๆ และชอบรวบกาล พอตอนเย็น ในป่า มันก็มืดแล้ว เสียงจั๊กจั่นเรไร คร่ำครวญอย่างหนาหู

ลักษณะอย่างนี้ เป็นรหัสป่า ว่าปลอดภัย ข้าออกจากทางจงกรม ไปนั่งสมาธิ วันนี้ ขอลองอีกซักตั้ง ดูซิ จะเป็นไรไป

เมื่อย้อนกลับมาสอดส่องใจ มันก็รู้ชัดว่า ไม่มีความกลัวหลงเหลือค้างคาอยู่ในนั้นอีกเลย เออ…ค่อยยังชั่ว นั่งด้วยความสงบ จิตถอยเข้าถอยออกตั้งหลายต่อหลายครั้ง

ทั้งป่า ก็ยังสงบ และเสียงดังสนั่นป่า อยู่เช่นนั้น เสียงสนั่นดังลั่นแห่งป่า น่าแปลก ใจมันไม่สนใจ มันไม่หนวกหู มันเป็นเสียงธรรมชาติ ที่ใจมันยอมรับได้

นั่งหลับตาเมื่อไหร่ ใจก็สงบ ข้านั่งจนเกิดแสงสว่างแจ้งขาวโพลนไปทั้งจิต ซึ่งไม่ได้เป็นบ่อยนัก แต่ถ้าสว่างแจ้งเช่นนี้

มันก็ง่ายในการที่ จะโยนิโส เพื่อเห็นภาพ เราอยากเห็นอะไรก็ได้ ในความสว่างจ้า แห่งจิตที่ปรากฏอยู่เช่นนั้น ภาวะเช่นนี้ ท่านเรียกว่า โอภาส

ในความสว่างจ้านั้น จริงๆ แล้ว เราอยู่ในวงของโอภาส เหมือนตกอยู่ใน ทะเลนม หากเรากำหนดถอยออกมา ความสว่างจ้านั้น ที่เรามองไม่เห็นขอบเขต เป็นแค่ดวง ดวงวงกลมเล็ก ที่เป็นอณูหนึ่งในอากาศ เท่านั้นเอง

แต่จิตเราละเอียดกว่าอณูนั้น และความละเอียดแห่งจิตนี้ สามารถแทรกพลังงานและภาวะแห่งความรู้สึก เข้าไปอยู่ในอณูวงกลมเล็กๆ อันสว่างจ้านั้นได้

มันเป็นของมันเอง ตามธรรมชาติจิต บางคน นั่งสมาธิอยู่ดีๆ ก็เกิดความสว่างจ้าขึ้นมา ก็เกิดอาการตกใจ ทำอะไรไม่ถูก

แต่ผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญ พร้อมปัญญา จะสามารก นำเอาอาการแห่งโอภาสนี้ มาทำการโยนิโส ย้อนดูอดีต ปัจจุบัน ได้

เป็นวิชาแรก ที่เรียกว่า บุพเพนิวาสา ภาพจะปรากฏชัดเจน และเราก็เข้าใจในภาพอันปรุงแต่งนั้นได้ เพราะใจมันก็พากษ์ไปกับภาพ ที่ปรากฏ

และหากกำหนดจิต เอาความสว่างจ้า อันเป็นโอภาสนั้น ถอยออกมา จนเห็นเป็นจุดเล็กๆ เราสามารถที่จะกำหนดจิต พุ่งออกไปยังตำแหน่งสว่างวงเล็กๆ ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้านั้นได้

เรียกว่า เป็นการถอด อทิสสมารกาย ออกท่องเที่ยว นี่..บางที่เขาทำกันแบบนี้ ทางภาคใต้ บ้านข้า เขาก็ถอดจิตท่องเที่ยวกัน วิธีนี้ ที่บ้านข้า เขาก็ทำกัน โดยเฉพาะทวด ท่านว่ามาเช่นนี้

เมื่อใจเป็นสมาธิจนเกิดปรากฏ แสงสีขาว ลอยเด่นขึ้นมา จะใกล้จะไกล จะใหญ่หรือเป็นแค่จุดเล็ก ให้กำหนดไว้ที่หน้าผาก แล้วอธิฐานจิตพุ่งออกไป

จิตก็จะออกไปนอกกาย ตอนกลับ ก็ใช้วิธีเดิม แต่ความจริง ไม่จำเป็นก็ได้ มันจะออก มันก็ออกของมันเอง ไม่จำเป็นต้องเอาแสงสว่างมาเป็นเครื่องมือ ล่อจิตก็ได้ จะมาบอกว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ก็ไม่แน่อีก เรื่องจิตนี่ แต่นี่..เป็นวิธีของทวดเขา

ตอนนั้น ยังไม่เข้าใจ จึงทำอย่างที่เขาบอกไม่เป็น บางคนนั่งเพียงเล็กน้อย ก็เกิดแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ อยู่ตรงหน้า

มันจะเริ่มต้น ม้วนเป็นควันขาวๆ ลอยเด่นอยู่ และมันจะค่อยๆ ขาวขึ้น ขาวขึ้นๆๆๆๆ จนสว่างจ้า เป็นจุดเล็กๆ

นี่แหละ เขาเรียกว่า โอภาส มันเป็นโอภาสที่จิตถอยออกมาไกล หากเป็นวงขนาดใหญ่และสว่างจ้า นี่ จิตมันใกล้เข้ามา

ถ้าจ้าเลย สว่างเลย ไร้อาณาเขต นั่นแสดงว่า จิตมันแทรกตัวอยู่ในโอภาส คนมีความชำนาญ เขาจะสามารถ ถอยเข้าถอยออกได้

ให้ความสว่างจ้านั้น เล็กก็ได้ ใหญ่ก็ได้ จ้าก็ได้ และภาวะใจที่เกิดโอภาสนี้ เป็นภาวะที่ง่าย ต่อการติดต่อ ทุกภพภูมิ

เพราะมันเป็นภาวะจิตที่เป็นกลาง อยู่ที่เจ้าตัว ว่าจะโยนิโส ปรุงแต่งใส่อะไรเข้าไป คืนนั้น ข้าเกิดโอภาส ข้าก็เลย สงบอยู่ในความสว่างนั้น จนรุ่งแจ้ง

จนสายแล้ว ข้าถึงลุกออกมาเดินจงกลม ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เพราะเพิ่งฟาดอาหารเข้าไป ตอนเที่ยงเมื่อวาน ข้าเดินพิจารณา อาการแห่งจิต อันหลากหลาย ที่ยังไม่เข้าใจมัน โดยไม่มีอะไรมารบกวน เป็นเวลาอีก สามวัน

คืนนั้น ข้านั่งสงบ อยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม ต้นไม้นั้น มันมีผลเป็นฝัก เขาเรียกว่า ต้น มะค่าโมงใบมันเหมือนใบต้นประดู่ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็น ในตอนหลัง

นั่งอยู่ดีๆ ขนก็ลุกซู่อีก มันแรงขึ้น แรงขึ้น จนขนหัวลุกตั้ง ความยะเยือก แห่งอาการ มาเยือนกูอีกแล้ว นี่….ไอ้หมอนั่นมันเริ่มขู่อีกแล้ว

มันมาแล้ว…ไอ้เจ้าเดิมแน่ๆ มันมาแล้ว อากาศเริ่มก่อตัว จนมีความเหนียวแน่น มันมาร้อยรัดตัวหมุนติ้วๆๆๆ จนร่างกายโยกคลอน

แต่ใจข้ามันยิ้มร่า บอกสบายๆ แต่อาการแห่งกาย มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม คือ เย็นยะเยือก และขนลุกขนพอง สยองเกล้า

มันจะหยอง ก็หยองไป แต่ใจข้าไม่หยองไปกับมันด้วย นี่..เป็นภาวะ ที่จิตใจมันตั้งมั่น มันไม่พรั่นพรึงไปตามผัสสะที่กระทบ

สติมันมีกำลังมาจากการได้โยนิโส ถึงเหตุถึงผล ในอาการทั้งหลาย ที่มันได้เผชิญ มันได้หลักใจ แต่ขี้คร้าน จะอธิบาย เดี๋ยวจะเป็นการนอกเรื่อง และเยิ่นเย้ออีก

ปัญญามันรู้ชัดว่า ใจไม่ได้ไปเป็นเจ้าของ อาการแห่งกายที่เกิด ปรากฎเลย มันจรดจ่อ อยู่แต่กับ สติที่เฝ้าเพ่ง ใจ ว่ามันจะส่งผล และมีอาการอย่างไร

นี่.แสดงว่าแม้ใจ ที่แสดงออก มันก็ไม่ใช่เรา เพราะมีเรา เป็นผู้เฝ้าดู อาการแห่งใจ ที่แสดงออกอยู่ มันมีเรา ที่อยู่ลึกไปจากความเป็นใจ ที่เราเข้าใจกัน

อากาศมันวนรัดตัวอยู่นาน อากาศรอบข้าง แตกเสียงเป็นเพนียงไฟ เปรี๊ยะๆๆๆ กระจายจนได้ยินก้องและชัด อากาศมันแตกเปรี๊ยะยังกะข้าวโพดโดนไฟ

ที่สุด มันก็เริ่มเบาบางลง ฮ่าๆๆ มันขู่ข้าไม่กลัว เมื่อทุกอย่างนิ่งข้าก็ลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังคงมืดมิด ป่าก็คือป่า สงบและไร้ เสียงไพรป่า แห่งเรไร มันเงียบจนหูมีเสียงลั่น เปรี๊ยะ ลม…มันเสียดเสียงลั่นหู

ข้าจึงหลับตา และผ่อนท่วงท่าอาการทั้งหลายลง แค่หลับตา ความสว่างจ้า ก็ขาวโพลนไปทั้งจิต ข้านิ่งอยู่กับความสว่างนั้น พลัน ในความสว่างนั้น ก็เกิดร่างของอสูรกายขึ้น

มันใหญ่โตและดูทมึน ยืนชี้หน้าข้า มันเปล่งเสียงเบาๆ แต่ดังสนั่นโสตประสาทว่า ไป๊..แก….จงออกไป ออกไปให้พ้นจากที่นี่…..!!!

คืนนี้ จะสามทุ่มแล้ว ผลเป็นยังไง พรุ่งนี้ มีเวลา จะมาเล่าต่อ แหม…กำลังลุ้นกันเลยซิท่า วันนี้..สวัสดีทุกคนนะจร้า หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 14 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง