พระจับเงินผิดหรือ

พระจับเงินผิดหรือ

1858
0
แบ่งปัน

>> พระอาจารย์ : หวัดดียามค่ำ ข้าโม้อยู่อีกที่หนึ่ง ที่ตรงนี้ มีใครบ้าง ตรงโน้น ฟังกันหลายสิบ ตรงนี้ คึคึคึ มีกี่สิบหนอ

เขาถามมาเรื่องพระจับเงิน พระบอกเขาไม่จับเงิน แต่เขาใช้นู่นใช้นี่ เอามาจากไหน ข้าเลยอธิบายพอคร่าวๆ จะฟังไม๊ เดี๋ยวเอามาให้ มันยังอุ่นๆ อยู่

<< ลูกศิษย์ : นมัสการค่ะหลวงพี หนูขอกราบเรียนขอให้หลวงพี่ ตอบข้อธรรมเกี่ยวกับวินัยสงฆ์ ข้อการไม่จับเงินทองค่ะ มีพระรูปหนึ่งยกข้อนี้ขึ้นมา ว่าท่านถือวินัยข้อนี้อย่างเคร่งครัดมานาน

แต่ หนูค้านในใจค่ะ เพราะท่านไม่จับเงิน แต่ท่านใช้เงินอยู่นี่นา เพียงแต่ให้โยมเป็นผู้ซื้อหามาให้ เช่น อุปกรณ์สื่อสารและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ

แล้วเวลาเดินทาง ทำให้ต้องมีโยมติดตามไป เพื่อขับรถให้ เพื่อจ่ายตังค์ค่ารถให้ ถ้าเป็นโยมหญิง ก็ต้องไปกันหลายคนอีก แต่หนูว่ามันคือการเบียดเบียนนะคะ

และถ้าท่านถือวินัยเคร่งครัดจริง ไม่ควรเล่นเน็ต เล่นเฟซ รึจัดรายการอะไรต่างๆ นะคะ ท่านว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หนูว่าไม่ใช่ละ

แต่วิบากใครวิบากมัน ไม่ไปแย้งท่าน คิดในใจว่า มาถามหลวงพี่ดีกว่า หลวงพี่แสดงธรรมเรื่องนี้ขึ้นหน้าเฟซ จะแรงไปมั้ยคะ จะกระเทือนวงการรึเปล่า ถ้าพิจารณาว่าไม่สมควร ก็โปรดน้องสาวมาทางหลังไมค์ก็ได้ค่ะ..

>> พระอาจารย์ : ข้าไม่โปรดใครหลังไมค์ เพราะขี้เกียจพิมพ์ ข้าจึงเอามากระจายให้หลายๆ คนได้รับรู้

ขอว่ากันตามประสา พระป่าๆ นะท่าน..

พระธรรมวินัยข้อนี้ เป็นพระธรรมวินัยแห่งพวกเดียรถีย์ ใช้ฝึกฟอกใจพวกนอกศาสนา ที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา..

เพราะพระที่เป็นพระในพระพุทธศาสนา ท่านไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินทองอยู่แล้ว จะจับหรือไม่จับ ท่านก็ไม่มีอาบัติ

หากอาบัติ ก็เป็นสมมุติอาบัติ เพื่อรักษาตามข้อธรรมวินัย เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นพุทธบริษัท พระธรรมวินัย ท่านมีมาเพื่อให้รักษาใจ ให้ใจมันมีที่ตั้ง

หากใจยังอ่อนแอ ก็ให้เอากฎข้อระเบียบแห่งพระธรรมวินัย มาเป็นข้อระลึก การระลึก พิจารณาก่อนที่จะกระทำการอะไรใดๆ จะทำให้เกิดสติ

ผู้ที่มีสติ รู้ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ มาเป็นเครื่องสาวผล ไปหาเหตุ

บุรุษเช่นนี้ เป็นบุรุษที่มีสติ รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร เป็นบุรุษรู้เหตุ รู้ผล บุรุษเช่นนี้ หาอาบัติไม่ได้ แม้จะจับเงินจับทอง

เพราะสติเป็นเครื่องอยู่ของศีล คนที่มีสติ ย่อมไม่ทุศีล คนไม่มีสติ แม้เคร่งครัดไม่จับเงินจับทอง มันก็เป็นบุรุษ…ทุศีล

ผู้ทุศีล ย่อมเรียกว่า เป็นผู้อาบัติ เป็นอาบัติโดยไม่รู้ตัว ที่ไม่รู้ตัว เพราะมันขาดสติ ที่มันขาดสติ เพราะขาดการ พิจารณา ตามเหตุปัจจัย

ที่ขาดการพิจารณา เพราะขาดศรัทธา ต่อความเป็นจริง ที่ขาดศรัทธาต่อความเป็นจริง เพราะขาดการได้รับฟังธรรมจาก สัตบุรุษ..

มีพระบางรูป และหลายๆ รูป ไม่จับเงิน อ้างว่า การจับเงินเป็นการผิดพระธรรมวินัย จึงให้ผู้อื่นจับแทน…นี่แหละ เป็นไอ้พระโง่..!!

นี่..โง่โคตรๆ ที่คิดอย่างนี้ มีพระมาที่เกาะกลางน้ำ เขาไม่จับเงิน เขาบอกว่า เขาเป็นพระสายธรรมยุต พระสายธรรมยุต ไม่จับเงิน..

>> จึงถามว่า แล้วนี่ มาได้ไง

<< ท่านตอบว่า นั่งรถมา

>> อ้าว.. แล้วเขาไม่คิดเงินหรือ

<< ท่านตอบว่า คิดเงิน

>> อ้าว..แล้วเอาเงินไหนให้เขา

<< ท่านตอบว่า ให้เขาหยิบเอาในย่าม ท่านไม่หยิบเองจับเอง เพราะจะอาบัติ

>> อ้าว…แล้วเอาเงินมาจากไหนใส่ย่าม

<< ท่านตอบว่า เมื่อญาติโยมถวาย ท่านก็เปิดย่ามให้ใส่ โดยที่กายไม่สัมผัสเงินเลย

ข้านี้ปวดหมอง กับพระหัวดอพวกนี้ นี่…มันไม่เข้าใจอะไรเลยรึนี่ เงินทองน่ะ มันไม่ใช่ตัวเสนียดจัญไรอะไรที่จะจับต้องไม่ได้

นี่..มันบ้าและโง่หลายๆ ไม่สมควรเป็นผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาแห่งปัญญาเลย ที่พระท่านนี้ แสดงอยู่

จึงชี้บอกไปว่า นั่นแหละ ท่านจับเงินอยู่ หากการจับเงิน ถือเป็นการทุศีล ท่านก็ทุศีลอยู่ พระบ้าพระบออะไร ไม่จับเงิน แต่ดันใช้เงิน

อย่างนี้ หากอยู่วัด ก็ต้องขโมยเขาใช้ น้ำ ใช้ไฟ ค่านู่นค่านี่ซิ เพราะพระในเมือง มันต้องมีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

มีนู่นมีนี่ มีทีวี มีโทรศัพท์ มีเฟสส่วนตัว มีทุกอย่าง แล้วบอกว่า ไม่จับเงิน ทั้งๆ ที่มันต้องใช้เงินซื้อ

หากพระคิดได้แค่นี้ ศาสนานี้ ก็มีแต่พระบ้าๆ แล้ว ไม่จับเงิน แต่ใช้เงิน เงินทองเป็นตัวเสนียดจัญไรของผู้เข้ามาบวชรึไง โดนมือโดนไม้แล้วมันผิด มันอาบัติ…โง่หลายๆ

หลวงพ่อท่านหนึ่ง ไม่จับเงิน พอรับกฐินก็ให้เขาไปเก็บ ไม่เคยนับเอง ฟังแค่เขาบอกตัวเลขคร่าวๆ ปีนั้น ได้มา เจ็ดแสน แกยิ้มแก้มปริ

พอรวมกับของเก่า ได้เป็นสี่ล้านเจ็ด หลวงพ่อร้อง เฮ๊ยยย….หายไปไหน สองล้าน ต้องรวมเป็น หกล้านเจ็ดซิ

แล้วแกก็โวยวาย เรื่องเงินหายไปสองล้าน ด่าพ่อล่อแม่คนเก็บรักษาเงิน เอาเรื่องเงินหาย คุยกับญาติโยมเขาไปทั่ว เสียอกเสียใจ เสียดายเงินหายไปสองล้าน

นี่…พระไม่จับเงิน แต่นับและหวงทุกเม็ด ขาดหายไปแค่ไหนยังไงรู้แม่งหมด เอาพระธรรมวินัย มาเป็นเครื่องอวด เป็นเครื่องมือหลอกล่อชาวบ้าน ว่าตัวเองเคร่ง นี่…เป็นพระเหี้ยๆ โดยไม่รู้ตัว

ข้อศีลที่บัญญัติในพระธรรมวินัย ท่านบัญญัติไว้ เพื่อเป็นการรักษาใจ ไม่ให้ไหลไปในกระแส เป็นพระธรรมวินัย

เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งใจ เพื่อเป็นเครื่องอยู่ ในการปฏิบัติ เพื่อก้าวเข้าสู้หนทางแห่งมรรคผล

เรื่องจิตนี้ เป็นเรื่องยากที่จะ ควบคุมแท้ พระสงฆ์ท่านบางรูป จึงปวารณา ตน ไม่ขอจับเงินตลอดชีวิต

การไม่จับเงินนี้ ก็คือ สิ่งใดที่เป็นสมมุติเครื่องแลกเปลี่ยน เช่น เงิน ทอง หรือของที่มีค่าใดๆ ในการแลกเปลี่ยน ท่านจะไม่ขอเป็นเจ้าของ..

ท่านใช้เงิน ใช้ทองอยู่ ตามเหตุและปัจจัย เพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เพื่อคนหมู่มาก แต่ตัวท่านเอง ไม่มีเงินเป็นของตัวเอง แม้แต่บาทเดียว..

นี่…พระไม่จับเงิน ไม่ใช่ปราวนาแล้ว ยังเอาเงินไป ซื้อ บัตรโทรศัพท์ บัตรเติมเงิน ซื้ออาหารกินตามร้านอาหาร ซื้อ น้ำแข็ง น้ำอัดลม ทุกๆ ซื้อนั่นแหละ

ท่านขาดจากการซื้อหามา เพื่อเป็นเจ้าของผู้ใช้ ท่านอาศัยบิณฑบาตร ฉันพออยู่ ไม่มีกิจอะไรที่จะใช้จะจำเป็นอย่างโลกๆ เขา หากจำเป็นต้องใช้ ก็เป็นเรื่องของโยมศรัทธา

แต่ก็ต้องพิจารณาไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่ใครถวายอะไร เอาแม่งหมด

ข้าเองนี้ โม้ได้เลย ตั้งแต่บวชมา ไม่เคยมีตังค์ส่วนตัวซักบาท อาศัยบิณฑบาตรเลี้ยงชีพ จึงไม่จำเป็นต้องมีเงิน ทุกอย่าง น้องๆ เขาจัดเตรียมให้เอง

ค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นจำนวนล้าน ที่สร้างพุทธสถาน ทุกบาท เป็นเงินศรัทธาที่สร้างเพื่อชดใช้ ลงไปสู่แผ่นดิน ของตัวเอง..ไม่มี

ข้าจึงอยู่อย่างอหังการ์ เพราะไม่ได้บวชมาเพื่อต้องการเงินใคร มีชีวิตอยู่ได้ ด้วยอาหาร วันละครั้ง แค่นี้พอแล้ว นอนตรงไหนก็ได้

สบู่ ยาสีฟัน ถ้าไม่มีใครมาทิ้งไว้ ข้าก็ไม่ใช้ ผ้าก็ซักน้ำเปล่า นานๆ ครึ่งปีซักที ใครเหม็นข้าไม่เหม็น ข้าอยู่ของข้าได้

เพราะเหตุนี้ การบวชจึงมีความเป็นอยู่อย่างสบาย ไม่ต้องใช้เงิน ที่ท่านบัญญัติไว้ ก็เพื่อผู้ที่ยังมีใจ กำลังยังอ่อนอยู่ ให้หลีกลี้ กับกระแสแห่งเงินตราซะ

ไม่เช่นนั่น มันจะไหลไปในกระแสได้ง่าย เพราะเงิน มันแลกเปลี่ยนกิเลสได้ง่าย ท่านจึงยั้งไว้ ว่าอย่าไปสะสม

เราบวชมาเพื่อเอาออก ใช่บวชมาเพื่อเอาเข้า หากสะสมเงินทอง มันจะเป็นการเอาเข้า สะสมให้หนัก แกะออกสู่ทางมรรคผลได้ยากยิ่ง

การไม่จับเงิน ไม่ใช่ การไม่โดนตัวเงิน การไม่จับเงินหมายถึง ไม่หาเงินทองมาสะสม เป็นเครื่องแลกเปลี่ยน เพื่อความสบายของตัวเอง

พระที่บวชเข้ามาแล้ว หากเข้าถึงธรรม ท่านก็เป็นผู้ไม่จับเงินทั้งนั้น แม้จะมีบัญชีเงิน แต่ท่านรู้และเข้าใจ ว่านั่น..มันเป็นเงินศรัทธา ของชาวบ้าน ที่มีต่อพระพุทธชินสีห์ ไม่ใช่เงินของท่าน แม้บาทเดียว ก็ไม่ใช่

ท่านไม่กล้านำเงินเหล่านี้ มาบริโภคส่วนตัว เพราะมันจะลงนรกภูมิ ท่านผู้รู้ ท่านไม่กล้า ท่านมองเห็น วิบากผลแห่งการเอาเงินศรัทธา มาใช้เป็นของส่วนตัวอยู่ ว่า…นรกทั้งนั้น

หากท่านใช้ ท่านก็พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วว่า มันเป็นการใช้เพื่อเป็นไปของประโยชน์ ส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว พระ..ไม่มีเงินส่วนตัว ท่านทั้งหลายจำไว้

ท่านเป็นแค่ ผู้ดูแล สมบัติแห่งสงฆ์ เพื่อความเป็นไปในกาลที่ท่านจะต้องพึงรักษาตามหน้าที่ เพียงแต่เดี๋ยวนี้ เปรตมันเข้ามาสวมรอย วิถีนี้ พระวิสัยเปรตจึงมีอยู่ไปทั่ว

มันอาศัยศรัทธาของชาวบ้าน ด้วยข้ออ้างแห่งธรรมวินัย แต่การเป็นอยู่ มันแสดงผลและขัดแย้งกับการกระทำ เปรตมันก็โกนหัวหลอกแดก พอโกนหัวแล้ว มันหลอกแดกง่าย เปรตในผ้าฝาดจึงมีมาก

ความหิวโหยของมัน หลอกแม้กระทั้งตัวมันเอง ที่สำคัญ มันดันเชื่อตัวมันที่มันหลอกตัวเองด้วย พวกเราเคยโดนเปรตหลอกเอาบ้างรึยัง

เปรตพวกนี้ ปากบอกไม่จับเงิน แต่มันใช้เงินเพื่อการเป็นอยู่ มันมีแต่ท่า เพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่า นี่คือผู้เคร่ง เอาพระธรรมวินัยมาอ้าง เอะอะก็บอกว่าอาบัติ มันโง่ ที่ออกจากอาบัติไม่เป็น

ธรรมชาติแห่งอาบัติ เข้าได้ก็ออกได้ แต่ไม่ใช่ มาปลงอาบัติกันอย่างทุกวันนี้ นั่นมันเด็กอนุบาลมันทำกัน แก่จะตายห่าอยู่แล้ว ยังออกจากอาบัติไม่เป็นเลย

ข้าขี้เกียจจะบอก การออกจากอาบัติในวิถีพุทธ ที่เป็นหน่อเนื้อแห่งพระพุทธชินสีห์ การปลงอาบัติอย่างทุกวันนี้ มันเป็นการปลงแบบวิสัยพวกเดียรถีย์

ชาวพุทธที่อยู่ในวิถีมรรค ท่านไม่ได้ปลงกันแบบวิสัยนั้น เรื่องการไม่จับเงินนี้ คงเข้าใจกันพอสังเขป ที่ไม่แตะน่ะ ดีแล้ว แต่อย่าไปใช้ อย่าไปสะสมมันด้วยซิ จึงจะดีใหญ่

เมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรได้ตามภูมิ จะจับหรือไม่จับ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมรรคผล การไม่จับเงิน ท่านห้ามใจนู่น อย่าเข้าไปจับ ไปแตะ ไปต้อง ไม่ใช่ห้ามกาย พระเราโง่หลาย ดันห้ามกาย แต่ไม่เลือกห้ามใจ…

วันนี้มืดโขแล้ว ร้อนมากๆ ต้องไปอาบน้ำหน่อย สำหรับวันนี้ ก็ขอสาธุคุณเพียงแค่นี้ เพราะเดี๋ยวต้องไปโม้ต่อ อีกไลน์ สวัสดี ทุกๆคน

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง