ธารธรรมแห่งเหตุและปัจจัย

ธารธรรมแห่งเหตุและปัจจัย

785
0
แบ่งปัน

เรื่องนี้คุยกันในเฟส จึงขอนำมาลงหน้าเพจเพื่อบางคนที่อยากติดตามแต่ไม่สะดวกค้น พูดง่ายๆว่าขี้เกียจตามเข้าไปอ่าน..

>> ลูกศิษย์ : ท่านผู้เฒ่าบอกว่า. ทุกข์ก็เป็นเวทนา. สุขก็เวทนา. เฉยก็เวทนา และเราก็ตัดมันไม่ได้ เพราะมันอาศัยเหตุให้เกิดมา วนเวียนเป็นวัฏฏะ เวทนาอาศัยผัสสะให้เกิด. ผัสสะอาศัยกรรมให้เกิด. กรรมอาศัยตัณหาให้เกิด และตัณหาก็อาศัยอวิชาให้เกิด. อวิชาดันอาศัยเวทนาอีก. วนอยู่อย่างนี้มันดับไม่ได้จริงๆ แต่ท่านเคยชี้ว่า. การวางเฉยด้วยปัญญา ด้วยการพิจารณาว่า สรรพสิ่งมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น และไม่มีอะไรแน่นอน. ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ยอมรับความเป็นจริง ที่เป็นไป. อุปทานเริ่มจางคลาย. ไม่ว่าจะวางหรือไม่วาง. มันก็วางของมันเอง จะยอมรับหรือไม่ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น. เพราะอุปทานรึป่าวครับ.

แท้จริงแล้วที่ท่านผู้เฒ่าชี้ให้เห็น กล่าวธรรมมานับร้อย. คำตอบก็มีอยู่ในนั้น ใช่มั้ยครับ. เพียงแต่อาศัย กาล และเหตุปัจจัยในการไหลของธรรม เป็นธรรมที่ออกจากใจ. เป็นความคิดเห็นที่ท่านทิ้งการบ้านเอาไว้ครับ. ผิดถูกยังไง ช่วยชี้แนะด้วยครับ ท่านผู้เฒ่า.. อยู่ที่การวางใจ รึป่าวครับ. ท่านผู้เฒ่า

<< พระอาจารย์ : คำตอบของ..ต้นเข้าท่าครับ ลองตอบกันมาเถอะครับ จะช่วยให้ท่านเป็นผู้วินิฉัยธรรมได้ ตรงตามความเป็นจริง เท่าที่ปัญญามี

ธรรมะหากได้ขบคิด จะไปกระตุ้นต่อมปัญญาให้ทำงาน ปฏิภาณทั้งหลายก็จะเกิด สืบเนื่องคล้องจองกันไป

คำถามที่ทิ้งไว้ ใช่ว่าผมจะมีคำตอบอยู่ในใจ คำตอบสำเร็จรูปผมยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้น เราก็รู้พอๆ กัน

ธรรมที่แสดงมันไหลออกไปเช่นนี้ มันไม่มีสมมุติค้างไว้เป็นคำตอบถูกผิด แต่เมื่อผัสสะกับคำตอบ มันจะมีเหตุปัจจัยให้ระลึกเหตุแห่งผัสสะที่เป็นผลของคำตอบ มันจะเห็นกันตอนนั้น

นี่..เป็นปาฏิหาริย์แห่งธรรม ในพุทธศาสนาที่มีอยู่ในตัวเราทุกๆ คน ขุดและค้นเค้นมันออกมา ความจริงทั้งหลาย ก็จะประจักษ์ใจเราเป็นปัจจัตตัง

เราจะสามารถเข้าใจปัจจัตตังนั้น อย่างถ่องแท้ และเราจะสามารถอธิบาย ปัจจัตตังแห่งเรานั้น ให้ผู้อื่นเห็นได้ด้วย

ดุจเปิดของคว่ำตรงหน้า ให้มันหงายขึ้นมา อย่างง่ายๆ ผมจะบอกแนวแห่งหลักพุทธ คือปัญญาแนวทางแห่งความรู้แจ้งไว้ให้ว่า

ทุกคำตอบ ให้พิจารณา สาวผลไปหาเหตุ ซ้อนๆ ลงไปอยู่เสมอ เพราะทุกอย่าง มันลงอยู่ในหลัก อริยสัจ มีผล..ย่อมมีเหตุ

ความมืดมิดแห่งปัญญาในการที่จะเห็นจริง ตรงตามความเป็นจริง ในแต่ละเหตุ แต่ละกาล

มันก็เลยเข้าไม่ถึง มันติดการโยนิโส ท่านเรียกว่า ไม่มีปัญญาอันเป็นโพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ที่ตรงตามความเป็นจริง

นี่เพราะเรา ไม่เข้าใจถึงหลัก แห่งอริยสัจ เมื่อไม่เข้าใจอริยสัจ ก็ไม่เข้าใจ อิธทัปปัจจยตา

เมื่อไม่เข้าใจอิธทัปปัจจยตา ก็ไม่เข้าใจหลัก ปฏิจจสมุปบาท

เมื่อไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท ก็เข้าไม่ถึงตัวอวิชชา

เมื่อเข้าไม่ถึงตัวอวิชชา ก็จะเป็นทาสของนิวรณ์ 5

คนที่เป็นทาสแห่งนิวรณ์ 5 ย่อมเป็นผู้ทุศีล

ผู้ทุศีล ก็ย่อมไม่เป็นผู้สำรวม ทาง กาย วาจา ใจ

ผู้ที่ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ เรียกว่าเป็นผู้ไม่ สำรวมในอินทรีย์

ผู้ที่ไม่สำรวมในอินทรีย์ ก็คือผู้ที่ไม่มีสติ

ผู้ที่ไม่มีสติ ก็เพราะขาดการโยนิโส ในผลที่ผัสสะ

ผู้ที่ขาดโยนิโสในผลแห่งผัสสะ เพราะขาดศรัทธา คือความเชื่อ ในสรรพสิ่งที่ตรงตามความเป็นจริง

ผู้ที่ขาดศรัทธา เพราะขาดการได้ฟังธรรมจาก สัตบุรุษ

ผู้ที่ขาดการฟังธรรมจากสัตบุรุษ ย่อมไม่รู้ธรรมแห่งมุตโตทัย

ผู้ที่ขาดธรรมแห่งมุตโตทัย คือ ธรรมความแห่งความเป็นจริงที่มุ่งหมายมาทางดับ เพราะเป็นทาสแห่งตัวตนจัด ผู้ที่ตัวตนจัด เพราะเป็นผู้หลงทาง เป็นทาสแห่ง อวิชชา

เพราะ อวิชา อาศัย นิวรณ์ เป็นอาหาร

นิวรณ์ อาศัย การทุศีล เป็นอาหาร

การทุศีล อาศัย ความไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหาร

ความไม่สำรวม อาศัย การขาดสติ เป็นอาหาร

การขาดสติ อาศัย การขาดโยนิโส เป็นอาหาร

การไม่โยนิโส มันอาศัย ความไม่มีศรัทธา เป็นอาหาร

ความไม่มีศรัทธา อาศัยการไม่ได้รับฟังธรรม จากสัตบุรุษ เป็นอาหาร

การที่ไม่ได้รับฟังธรรมจากสัตบุรุษ มันอาศัย ตัวตน เป็นอาหาร

ตัวตนเกิดขึ้นมาได้เพราะอาศัย อวิชา เป็นอาหาร

ธรรมะ มันจะมีคลองแห่งธารธรรมไหล ออกไปเช่นนี้ เป็นธรรมชาติ เราตามรู้ได้ไหม เพราะมันมีกาลขั้นขวางอยู่

ธรรมทุกตัว มันไหลไปเป็นทาง ธรรมทุกตัวที่เราเรียนรู้มา มาไหลเข้าถึงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่ออะไร เหตุอย่างไร สายไหน มันไหลถึงกันหมด

ผู้รู้แจ้งย่อมแสดงธรรมได้แทงตลอด โดยไม่ติดขัด เพราะธรรมทุกตัวอาศัยหลัก อริยสัจเป็นธารในการไหล

ที่สุด…มันก็จะไปจบลงตรงความจริง ที่ผ่านสมมุติทั้งปวง เราเรียกที่จุดผ่านและศูนย์รวมตรงนั้นว่า วิมุติ

เช้านี้ ขอสาธุคุณกับทุกๆ ท่าน สวัสดีในธรรมจากแดนไกลในไพรป่า…

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 4 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง