ใบไม้แห่งความพลัดพราก ท่อนที่ 13

ใบไม้แห่งความพลัดพราก ท่อนที่ 13

1169
0
แบ่งปัน

1798616_1472387626323030_621081593_nนี่โม้ไปตั้งแต่วันศุกร์ นี่อังคารแล้ว ยังไม่นำมาลงเลย ธรรมที่เพิ่มๆขึ้นมา มันมีไหลออกมาเรื่อย จึงแซงไปเรื่อย นี่..นำเอามาลงแล้วนะ ….

หวัดดี ทุกคน

ก๊อก ๆ ๆ ๆ

กลางคืนก็ต้องว่ากันเรื่องผีต่อ เอาเรื่องผี ที่ถ้ำปทุนเหนือไม๊ หรือเรื่องผีท่านอั๋นต่อดี ตอนนี้ก็โม้ไปครบโหลแล้ว 12 ท่อน

วันนี้ จึงเป็นศุกร์ ท่อนที่ 13

ผีท่านอั๋นได้มาบอกในเช้าวันหนึ่งว่า ตอนนี้ เจ้าแก้ว โดนอสูรกายรบกวน นอนไม่ได้เลย

การที่เขาคอยหวงคอยเฝ้า มันทำให้ ผีอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ตอนนี้ พอกำลังแห่งความมุ่งมั่น จางคลายลง ผีอื่นก็เริ่มจะมาครอบครองเจ้าแก้ว

เพราะสภาวะจิตของเจ้าแก้ว เป็นจิตที่โดนควบคุมได้ง่าย อันเหตุเนื่องมาจาก ผีท่านอั๋นอีกนั่นแหละ เรื่องจิตนี้ เกินวิสัยจะตามรู้ ความซับซ้อนของมันจริงๆ

เราจะใช้การคาดคะเนเอา ไม่ได้เลย พอพลังจิตของผีท่านอั๋นผ่อนลง ผีอื่นก็เริ่มแทรก ท่านอั๋นบอกว่า มันมีอสูรกาย สามตัว เป็นลูกพี่ ที่มีฤทธิ์ อยู่ 1 ตัว อีกสองตัวเป็นลูกน้อง

มันก็อยากเอาชีวิตเจ้าแก้ว ไปอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะเหตุแห่งความรัก นี่… ไอ้เจ้าแก้วนี่ มันเป็นสาวมีเสน่ห์กับเหล่าผี ผีอยากได้มันไปเป็นเมีย

แต่ข้ามารู้ทีหลัง ว่า ผีที่เป็นอสูรกาย ทั้งสามตัวนั้น ลูกพี่มันก็คือ ผีนายร้อยตำรวจคนนั้นนั่นเอง เขาตายไปเพราะ ผีท่านอั๋น กระโดดขี่คอ

นี่ผีเขาเล่าบอกนะ เมื่อตายไป จิตที่มีความหวาดกลัวนั้น ทำให้ไปอยู่ในภูมิ อสูรกาย ฉะนั้น ผู้ที่จะไปเกิดในภูมิ..อสูรกาย

อาศัย ใจที่อยู่ในอาการหวาดกลัว กับใจที่อยู่ในอาการโกรธแค้นบ้าคลั่ง นี่..ผีบอกเองว่า เป็นอสูรกาย ผีอสูรกาย นายร้อยตำรวจ ที่ติดตามเจ้าแก้วมานี้

นี่ก็เพราะเหตุ ตายไปแต่หัวใจยังใฝ่หาเจ้าแก้ว ไม่ยอมวาง ชีวิตคนเรา มันเหมือนวัวเดินเข้าคอก จบชีวิตเมื่อไหร่ คอกก็ปิดเมื่อนั้น

เมื่อไหร่ที่คอกเปิด วัวตัวสุดท้ายที่เข้า ย่อมคาอยู่ปากคอก และเป็นตัวนำออกจากคอกไปก่อน ฉันใด.. ใจที่โหยหาความรัก ใจที่โหยหาบุคคลหรือวัตถุ สิ่งที่โหยหา มันจะเป็นเครื่องเกาะให้ดวงจิต ไม่ให้ไปไหน

นี่..เพราะความรุนแรงแห่งอุปาทาน ที่ยึดมั่นไม่ยอมวางเป็นเหตุ ท่านจึงชี้หมั่นให้ตรองสรรพสิ่ง ด้วยสติ ที่พิจารณา ตรงตามความเป็นจริง ว่าชีวิตนี้ เราต้องพรากจากทุกสิ่ง เป็นเรื่องธรรมดา

หัดปลงและวางใจลงซะมั่ง เอะอะอะไรก็ของกูๆๆๆๆ ตายไปท่านอาจต้องไปคอยเฝ้าคอยตาม อย่างผีท่านอั๋น และผีที่เป็นอสูรกาย อย่างนายร้อยตำรวจ

ท่านอั๋นบอกว่า ผีคนที่เขาฆ่า มันจะขึ้นมาบนศาลาให้ได้ แต่เป็นเพราะ เขาเป็นอสูรกาย เขาจึงทำได้ แค่วนเวียน

นี่ถ้าหากว่าเขาไม่คอยเฝ้าเจ้าแก้วไว้ ผีเหล่านั้น ก็จะเข้ามาครองร่างเจ้าแก้ว นี่..ผีเขาเริ่มจะลั่นกลองรบกันแล้ว เพราะความหวงและรักเป็นเหตุ

ข้าก็บอกว่า ข้าเป็นพระโว๊ย ไม่ใช่นักไล่ผี และที่สำคัญ ข้าสวดมนต์ไล่ผีไม่เป็น แต่ผีท่านอั๋นบอกว่า ข้านะไล่ได้ ไล่มาเป็นแสนเป็นล้านตัวแล้ว ครั้งนี้ ขอช่วยอีกครั้ง

เออ..เอากะมัน กูไปไล่ผีกะใครเมื่อไหร่ มันบอกว่า ไล่มาเป็นแสนเป็นล้าน โมเมชิบหาย เอาผลชาติไหนมาพูดก็ไม่รู้

คืนนั้น หลังจากข้าสวดมนต์เสร็จ เกือบๆ 5 ทุ่ม นึกในใจว่า นี่กูจะเอาบทไหนไล่ผีดีว้า จึงเปิดๆ ในหนังสือมนต์พิธีเล่มเหลืองๆ นั่นแหละ

เปิดมั่วๆ ไปเจอ บทสวด ที่เรียกว่า อรหันต์แปดทิศ ที่ขึ้นต้นด้วย บรูพาหมิงๆ อะไรนั้น และตามด้วย โพธิบาท ที่ขึ้นต้นด้วย กำแพงแก้ว 7 ชั้น เสด็จมาห้อมล้อม อะไรนั่นแหละ

สวดไปมั่วๆ งั้นๆ เอาใจผี เพราะรับปากแล้วนี่ แค่กำหนดตั้งใจสวด ขนหัวงี้ ลุกตั้งเลย ผมยิ่งเพิ่งโกน ชี้เด่เป็นหนามเลย

นี่..เขาเรียกว่า อาการ ผีทัก ทักก็ทักไปเหอะ กูจะสวดแล้ว ไม่สนหรอก เกิดมันมานั่งข้างๆ ข้า อย่างดี ก็แค่แหกปาก วิ่งกันน้ำบานกัน ก็แค่นั้นเอง

โหยยยย…ยิ่งสวด ขนยิ่งลุกชัน มันยะเยือก ลั่นไปทั้งกาย โห..สงสัยผีมันแรง อย่ามาแปลงกายตอนข้าสวดก็แล้วกัน

ข้าช็อกตายขึ้นมา เป็นบาปนะโว๊ยย สวดไปจนจบ ทุกอย่างเงียบเชียบ แม้แต่แมลงกลางคืน ก็ไม่ส่งเสียง มันเงียบจนแปลก เงียบจนข้าไม่กล้าล้มตัวนอน

ข้างนอกก็มืดและหนาว ข้าน่ะ นอนอยู่ ใต้ต้นไทรคนเดียว จู่ๆ ก็ชักปอดแหกขึ้นมาเหมือนกัน เพราะมันเงียบมาก หากข้าปอดแหก ข้าจะเข้ากรรมฐาน

ข้านั่งทำกรรมฐานเลย สมัยนั้น กำลังจิตแห่งกรรมฐานแรงจัด หายใจไม่กี่พรืด มันก็ดับหมด เหลือแต่สติลอยเด่นอยู่ตัวเดียว

ร่างกายและความรู้สึกใดๆ ไม่ต้องไปหา มันหายไปเลย ข้านั่งไปยันเช้า เมื่อไก่ขันก็คลายออกมา สวดมนต์ ทำวัตรเช้า ก่อนออกมา เดินจงกลม

ข้าได้ถามท่านอั๋นว่า เมื่อคืน มันเป็นอะไร ทำไม ตอนสวด ถึงได้ขนลุกขนพอง หนาวยะเยือกขนาดนั้น ผีท่านอั๋นหัวเราะชอบใจ

บอกว่า พอข้าสวดไป ถึงกำแพงแก้ว 7 ชั้นเท่านั้น เหล่าพวกอสูรกาย ร่างลุกเป็นไฟ ร้องโอดโอย ต่างลอยกระจายหนีหายกันไปหมดเลย

นี่…ผีบอก อุว๊ะ…นี่ บทมนต์มันศักดิ์สิทธิ์ ถึงขนาดนี้เชียว ผีเขามายืนยันให้ ไม่ได้ เราต้องไปบอก เหล่าพระ และหลวงพ่อจักษ์

แต่ที่ไหนได้พระเขาก็สวดของเขาเหมือนกัน เขาบอกงั้น เขาสวดกันบ่อยๆ สวดไปงั้นๆ ข้าก็เลยถามผี ว่า ทำไม ข้าสวดกับเขาสวด ผลจึงแตกต่างกัน

ผีบอกว่า มันเป็นเรื่อง กำลังแห่งจิต ที่ใส่ลงไปในบทมนต์ ไม่ใช่ ตัวบทมนต์ เป็นตัวไล่ผี บทมนต์ เป็นตัวที่ตั้งแห่งจิต

แต่กำลังแห่งจิต เป็นตัวขับดันผีให้ออกไป ข้าก็เลยเข้าใจ เลิกไปเสือกกับใคร ว่ามนต์นั้นดี มนต์นี้ดี เพราะบทมนต์ มันไม่ได้ไล่ผี ตัวไล่ผีคือ กำลังแห่งจิต

คือใส่เจตนาแห่งจิตลงไปในบทมนต์ คืนนั้น ท่านเจ้าพ่อขุนด่าน ที่ประจำอยู่ที่วัดมาหาข้า และบอกว่า ข้านี้ ทำไม่ถูก เป็นพระเป็นเจ้า ไม่ควรไป ระรานเหล่าดวงวิญญาณ

เพราะวิญญาณ ที่อาศัยอยู่ที่นี่ เขาอยู่กันมานาน หลายยุค หลายสมัย เขาต่างรอ ผู้ทรงคุณ ที่เคยมีสัญญาต่อกัน มาโปรด

บางวิญญาณ เขารอมาเป็นหมื่นๆ ปี เพื่อได้รับการโมทนา กับผู้ที่มีสัญญาต่อกัน แค่ครั้งเดียว เขาจึงไปสู่สุคติได้ แต่นี่อะไร ท่านผู้เป็นพระเป็นเจ้า กลับมาใช้กำลัง มารังแกวิญญาณเหล่านี้

นี่..เป็นการทำไม่ถูก เพราะดวงวิญญาณเหล่านี้ ไม่เคยซักครั้ง ที่จะไปรบกวน วิถีแห่งท่าน แต่ตัวท่าน กลับมาใช้กำลัง ที่สูงกว่า ขับไล่เขาไป ด้วยอำนาจไฟแห่งเตโช

อ้าว…ก็ข้าไม่รู้นี่หว่า ว่า ผีอื่น ก็กระเด็นออกไปด้วย ไม่เห็นมีใครบอก เออ…ถ้าผีมันมาบอก ข้าก็จะหาวิธีใหม่ ท่านเจ้าพ่อขุนด่าน กล่าวอีกหลายอย่าง ในเชิงตำหนิ ในการกระทำอันไม่ควร

แล้วก้าวฉับๆๆๆๆ หายไป ข้าถอยจากกรรมฐาน และมาตรึกตรอง จริงอย่างท่านขุนด่านว่า เรามัน ทำอะไรลงไปเนี่ย

นี่..เรามีกำลัง มากถึงกับไปรังแกเขาโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ ก่อนจากไป ผีท่านขุนด่าน ก็ยังบอกว่า ทีหลังจะไล่ใคร ให้ข้าระบุชื่อลงไปด้วย ไม่ใช่ เผาไล่กันทั้งวัดอย่างนี้

เออ…ข้านี้ชั่วจริง ขาดการพิจารณา…. ก็กูไม่รู้นี่หว่า ข้าจึงเอาธูปเทียน ปักลงและขอขมากรรมต่อเหล่า วิญญาณทั้งหลาย

ว่าที่ทำไป ไม่ได้มีเจตนาไล่ ที่ทำไป เกิดจากความไม่รู้เป็นเหตุ แค่นั้นแหละ ควันขึ้นรอบตัวเลย ขนงี้ ชี้ตั้งเด่ เย็นยะเยือกไปยังไขสันหลัง

นี่…ผีคงรับรู้แล้ว แต่มีผีมาบอกว่า กว่าที่เขาจะกลับมาที่เดิมได้ มันต้องผ่านกาลไปแล้ว 7 วัน และ วันของแต่ละผี ดันไม่เท่ากันอีก

มันขึ้นอยู่กับวิบากภูมิ หนึ่งวันเขา อาจกินเวลา 50 ปีเรา อะไรอย่างนี้ อ้าว..ชิบหายเลย ถ้าเป็นอย่างงั้น ต้องขอขมาอย่างแรง กับท่านผีๆ ทั้งหลาย

นับจากนั้นมา ขึ้นชื่อว่า บทมนต์ เกี่ยวกับบทคุ้มครอง ข้าไม่ขอข้องเกี่ยว และไม่นำมาสวดอีกเลย ข้าสงสารเหล่าผี ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ไม่ว่าข้าจะไปอยู่ที่ไหน ป่าช้าใด หรือในภูเขา ในป่า ในถ้ำ ข้าจะไม่สวดมนต์เพื่อคุ้มครองตนอะไรเลย ข้าแผ่เมตตาอย่างเดียว ข้าเกรงว่า กำลังแห่งจิต จะไปรุกรานเขา

แต่ถ้าข้าถอยไปหาเหตุ ก็จะเห็นชัดถึงเหตุอันเป็นวิบาก ที่แม้จะเป็นผีอยู่แล้ว มันก็ต้องเผชิญ คือโดนขับไล่ ด้วยการเผาไฟ

นี่..มันเกี่ยวดอง ต่อเนื่อง มาจากเหตุที่ทำไว้ต่อกันอีก เรียกว่า วิบากมันมาส่งผล นี่..คืนนี้ ข้าโม้มาชั่วโมงครึ่งแล้ว ค่อยว่ากันวันหน้าเน๊อะ

วันนี้ขอสวัสดี ขอความมั่งมี พึงเกิดกับทุกๆ ท่าน ขอสาธุคุณ…หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 7 มีนาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง